บทวิเคราะห์ของ KKP Research ชี้ให้เห็นว่า ฐานะทางการคลังของไทยกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจส่งผลให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ในอนาคต หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
สถานการณ์นี้เกิดจากการที่บริษัทจัดอันดับเครดิตสำคัญ (Moody's และ Fitch Ratings) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือด้านการคลังของไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “ลบ” (Negative) โดยมีสาเหตุหลักมาจากฐานะทางการคลังและศักยภาพทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงหลังวิกฤต COVID-19
KKP Research วิเคราะห์สถานะทางการคลังของไทยด้วยข้อเท็จจริง 3 ประการ
1.การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นและหนี้สาธารณะที่ใกล้เพดาน
การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อ พยุงเศรษฐกิจที่อ่อนแอ มานานนับทศวรรษ
- ระดับการขาดดุล: การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยไม่เกิน 3% ของ GDP (ก่อนโควิด) มาอยู่ที่ประมาณ 4-5% ของ GDP หลังโควิด เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น
- หนี้สาธารณะ: การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว KKP Research คาดว่าหนี้สาธารณะมีโอกาสจะแตะ เพดาน 70% ภายในปีงบประมาณ 2027 ซึ่งเร็วกว่าที่กระทรวงการคลังเคยประเมินไว้
- ช่องทางอื่นที่ถึงขีดจำกัด: มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal) ที่ดำเนินการผ่านรัฐวิสาหกิจ (เช่น พักหนี้/ค้ำประกันเงินกู้) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 29% ของงบประมาณทั้งหมด (ใกล้เพดาน 32%) และการสูญเสียรายได้ภาษี จากมาตรการลดหย่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น
2.รายได้ภาครัฐที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดย สัดส่วนรายได้ต่อ GDP ของไทยปรับลดลง อย่างต่อเนื่อง
- สัดส่วนรายได้: จากประมาณ 16-17% ในช่วงปี 2003-2015 ลดลงมาอยู่ที่ ต่ำกว่า 15% ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา ซึ่งนอกเหนือจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอแล้ว ยังเกิดจาก การรั่วไหลของการจัดเก็บภาษี จากภาคเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และความอ่อนไหวของผู้คนต่อการเก็บภาษีที่สูง ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษี
- ทางเลือกที่ทำได้ยาก: การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นทางเลือกในการเพิ่มรายได้ ยังคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากจากเหตุผลทางการเมืองและเศรษฐกิจ
3.“งบประจำ” กดดันฐานะการคลัง (Fiscal Rigidity) งบรายจ่ายที่ปรับลดได้ยาก (งบประจำ) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นข้อจำกัดระยะยาวต่อการคลังไทย:
- สัดส่วนงบประจำ: ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60% ของงบประมาณทั้งหมด
- องค์ประกอบหลัก: เงินเดือน/ค่าจ้างบุคลากรภาครัฐ (25%), งบสวัสดิการของข้าราชการ/ประชาชน (รวมประมาณ 25-29%), และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ (12%)
- แนวโน้มในอนาคต: สังคมผู้สูงอายุที่เร่งตัวขึ้น จะทำให้งบสวัสดิการของข้าราชการและประชาชนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 25% เป็น 35% ของงบประมาณทั้งหมดในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะกดดันฐานะการคลังอย่างหนัก
ผลกระทบของการถูกลดอันดับเครดิต
หากประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจริง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
- ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น: ทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจที่ระดมทุนในและต่างประเทศจะต้องแบกรับ ต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น (ดอกเบี้ยจ่ายแพงขึ้น)
- ซ้ำเติมเศรษฐกิจอ่อนแอ: ผลกระทบดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแออยู่แล้ว
4.ทางออกที่ต้องเร่งดำเนินการ
KKP Research เสนอแนะให้รัฐบาลเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นการ ปฏิรูปโครงสร้างการคลังในระยะกลาง เพื่อรักษาอันดับเครดิตไว้ โดยเน้น 4 ลำดับความสำคัญ:
- ยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ: เร่งรัดโครงสร้างพื้นฐาน, สร้างแรงจูงใจต่อการลงทุนภาคเอกชน, และพัฒนาทักษะแรงงาน
- เพิ่มศักยภาพด้านรายได้ของรัฐ: ขยายฐานภาษี, ลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ, ลดการยกเว้นภาษีที่ไม่จำเป็น, และพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ปรับโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ: ปฏิรูประบบราชการ, ปรับเป้าหมายการจัดสวัสดิการให้ ตรงกลุ่มเป้าหมาย, และลดการรั่วไหลจากคอร์รัปชัน/รายจ่ายประจำที่ไม่มีประสิทธิผล
- สร้างกรอบวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ: จัดทำ งบประมาณแบบหลายปี (Multi-year budgeting), และมี องค์กรอิสระด้านการคลัง ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาด