'กอบศักดิ์' แนะรัฐใช้ 4 เดือนสร้าง 20 ผลงานจริง ‘คานงัด 10X – เปิดประตูน้ำเศรษฐกิจ’

21 ต.ค. 2568 | 11:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 11:00 น.

4 เดือนเปลี่ยนประเทศ 'ดร.กอบศักดิ์' ชี้รัฐต้องเร่ง “คานงัด 10X” – เปิดประตูน้ำเศรษฐกิจไทย ปลดล็อกกฎเกณฑ์ เพิ่มงบหน่วยงานทำเงิน สร้างแรงขับเศรษฐกิจ–การลงทุน ก่อนไทยจะหล่นอันดับอาเซียนในปี 2030

KEY

POINTS

  • เสนอให้รัฐบาลใช้นโยบาย "คานงัด 10X" ที่ใช้งบประมาณน้อยแต่สร้างผลกระทบสูง เช่น การให้ภาครัฐจัดซื้อสินค้าจาก SME ไทย และเพิ่มงบให้หน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญอย่าง ททท. และ BOI
  • ผลักดันนโยบาย "เปิดประตูน้ำเศรษฐกิจ" เพื่อสร้างผลกระทบระยะยาว โดยการแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค เช่น ปฏิรูปกฎ BOI และเร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Guillotine)
  • แนะให้ใช้หลักการ "1 คน 1 ทีม 1 เรื่อง" และตั้งเป้าให้รัฐมนตรีแต่ละคนสร้างผลงานให้สำเร็จเดือนละ 1 เรื่อง เพื่อให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมกว่า 20 เรื่องภายใน 4 เดือน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภายในงาน "เสวนา 4 เดือน : สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่" ว่า มองว่าระยะเวลาการทำงานของรัฐบาล 4 เดือนนั้นค่อนข้างสั้น

ปัจจุบันก็ผ่านไปแล้วเกือบ 1 เดือน มองว่านโยบายเร่งด่วนที่สุดคือการกระตุ้นให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าก่อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากบอกว่า GDP ประเทศโต 4% ประชาชนไม่ได้รู้สึก แต่ประชาชนถามว่ากระเป๋าฉันมีเงินแล้วหรือยัง ซึ่งเรื่องนี้คือหัวใจสำคัญของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล

โดยโครงการที่รัฐบาลกำลังทำ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และโครงการเที่ยวด้วยกันถือว่าโอเค แม้ว่าอาจต้องใช้เงินบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นโครงการที่ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นไปได้และเริ่มมีคนใส่ใจมากขึ้น ขณะเดียวกันเชื่อว่าการช่วยพยุงทุกคน การสร้าง Confident และการสร้างอนาคต จึงมองว่านี่คือหัวใจ

ทั้งนี้ สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่นั้น มองว่านโยบายกระตุ้นระยะสั้นคงไม่มีอะไรเพิ่มเติม เพราะทำได้ดีแล้วและชอบกรณีรัฐบาลไม่เขินอายที่จะนำนโยบายที่ดีของผู้อื่นมาใช้ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้

เนื่องจากหากจะเอาแค่นโยบายของตนเองคงต้องใช้เวลาอีก 1 ปี คงยังไม่ได้เริ่มทำ แต่มีนโยบายที่อยากให้ทำเพิ่มคือ นโยบายที่เรียกว่า "คานงัด 10X" ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้เงินน้อย แต่ได้ผลมาก

ในส่วนนี้คิดว่าอยากให้รัฐบาลทำนโยบายที่เรียกว่า SME GP ซึ่งเป็นนโยบายที่เคยทำอยู่แล้ว แต่ว่าหายไป ซึ่งเป็นการช่วยกลุ่มธุรกิจธุรกิจ SME ไทย เพราะอีกไม่นานสินค้าจากประเทศจีนจะเข้ามาและเจาะจงไปที่กลุ่ม SME ของไทย

แนะนำรัฐบาลควรออกนโยบายเร่งด่วนให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อสินค้าจาก SME ไทยและให้แต้มต่อ SME เล็กน้อยประมาณ 10% แพงกว่าบริษัทขนาดใหญ่ได้ โดยต้องการเจาะจงให้ SME และสินค้าไทยเท่านั้น เพื่อป้องกันสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาด

อีกนโยบายที่รัฐบาลทำได้เลยคือ การเสนอให้เพิ่มงบประมาณและบุคลากรอย่างน้อย 2-3 เท่า ให้กับหน่วยงานที่ทำเงิน เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.),กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีความสำคัญมาก เพราะหน่วยงานเหล่านี้ในช่วง 3- 5 ปีข้างหน้าจะสำคัญมาก

อีกสิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำคือ  "นโยบายเปิดประตูนํ้า ปลดล็อก" เพราะแม้อายุรัฐบาลจะอยู่ระยะสั้น แต่ว่าสามารถทำนโยบาย Long-lasting Impact ได้ เนื่องจากหลายอย่างติดขัดจริงเพียงเพราะไม่มีคนสนใจและไม่มีคนกรุยทางไว้ให้

ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่อยากจะทำ เช่น การเปิดทางให้ BOI สามารถเอาบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI เข้าสู่การ IPO ได้เพื่อเพิ่มกลุ่มธุรกิจ S-Curve ซึ่งเชื่อว่าการแก้ไขกฎเกณฑ์ภายใน 4 เดือนได้ทัน 

ขณะเดียวกันที่อยากคุยกับกระทรวงการคลังในการปฏิรูปการออมเพื่อการเกษียณอายุที่ทำได้เลยทันทีและมีเป้าหมายชัดเจน และการปรับกฎเกณฑ์ BOI สนับสนุนให้บริษัทช่วยชุมชน รวมถึงการเปิดเสรีภาคการบริการ

ทั้งหมดนี้คือกลุ่มนโยบายที่ทำวันนี้ แต่ว่าเห็นผลต่อๆไปและทำให้ทุกคนเห้นว่าประเทศชาติเดินไปได้  นอกจากนี้นโยบายปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Guillotine) ของท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็อยากให้เร่งดำเนินการ เพราะนโยบายเหล่านี้คือการปลดล็อกเปิดประตูนํ้า

นอกจากนี้สำหรับการทำงานในช่วง 4 เดือนนี้ อยากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้หลักการ "1 คน 1 ทีม 1 เรื่อง" โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ไฟแรง มุ่งทำเพียงเรื่องเดียวให้สำเร็จพอ ภายในกรอบเวลา 4 เดือน และกำหนด KPI รายเดือนให้รัฐมนตรีแต่ละท่านทำสำเร็จเดือนละ 1 เรื่อง

ถ้าทำได้ 1 เรื่องต่อเดือน 4 เดือนก็ 4 เรื่อง รัฐมนตรี 5-6 คน ก็เกิน 20 เรื่อง ประเทศไทยก็ต้องเจริญ เพราะปัญหาของประเทศในขณะนี้คือการติดล็อกเต็มไปหมด เพียงแค่ลงมือทำและทำให้สำเร็จก็ถือเป็นความสำเร็จแล้ว และถ้าเราไม่ทำวันนี้เศรษฐกิจไทยจะแพ้ชาติอื่น เพราะ IMF ประมาณการณ์ว่าภายในปี 2030 ไทยจะกลายเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน