สมาคมถุงมือยาง หวั่นงบซอฟต์โลน 2 แสนล้าน รับศึกภาษีทรัมป์ โยกโปะคนละครึ่งพลัส

11 ต.ค. 2568 | 04:37 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ต.ค. 2568 | 04:50 น.

“คนละครึ่งพลัส” พ่นพิษ สมาคมถุงมือยาง หวั่นงบซอฟต์โลนรับศึก 2 แสนล้าน ภาษีทรัมป์ โดนโยกงบ จี้ขอความชัดเจนด่วน!

นายอดิศักดิ์ กองวารี นายกสมาคมถุงมือยางไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้าเข้าร่วมประชุมประเด็นหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยทางสมาคมถุงมือยางไทย ได้เสนอผ่านสมาคมการค้ากลุ่มเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อทวงถามมาตรการผลกระทบภาษีสหรัฐอเมริกา เพื่อดำเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน วงเงินไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท ยังคงมีอยู่หรือไม่ เนื่องจากในช่วงนี้รัฐบาลกำลังมีนโยบายคนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายคนในประเทศ ก็ขอความชัดเจน

สมาคมถุงมือยาง หวั่นงบซอฟต์โลน 2 แสนล้าน รับศึกภาษีทรัมป์ โยกโปะคนละครึ่งพลัส

“จากที่ประเทศจีน ถุงมือยางโดนภาษีสหรัฐ ทำให้สูญเสียการแข่งขัน ก็เป็นโอกาสของไทยที่ได้ตลาดตรงนี้คืนมา  ขอให้มีการอุนมัติเงินตรงนี้โดยเร็ว เพื่อเสริมศักยภาพในการส่งออกและขยายตลาดได้ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลการส่งออกถุงมือยางของไทยในปี 2566 (ค.ศ. 2023) พบว่ามีมูลค่าการส่งออกถุงมือยางรวมทั้ง โลกอยู่ที่ 7,595,326,141 ดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 2,187,498.5 ดอลลาร์สหรัฐ หากประเทศไทยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อีก 10% จากมูลค่าการส่งออกเดิม จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกถุงมือยางรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 759,532,614 ดอลลาร์สหรัฐ และในตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นประมาณ 218,749,858 ดอลลาร์สหรัฐ”

นอกจากนี้ขอเสนอให้ย้ายอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น ถุงมือยาง ยางรถยนต์ ท่อยาง และอุปกรณ์ทางการแพทย์  จากการกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปสังกัดกระทรวงพาณิชย์ แทนเนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นดูแลเกษตรกรเพียงอย่างเดียว และอยากให้มีการปรับปรุงนิยามวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของประเทศไทย ที่อ้างอิงโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพราะยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการแข่งขังขันในระดับสากล

ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออกและขยายตลาดสู่สากลไม่ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเหมาะสม เนื่องจากตามนิยามปัจจุบัน ผู้ประกอบการกลุ่มนี้อาจมีขนาดเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และขอให้มีการสนับสนุนและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ เช่น โครงการ Thailand Rubber Branding จัดทำฉลากด้านความปลอดภัยและความปลอดภัยด้านอาหาร ภายใต้ DITP  ถุงมือยางธรรมชาติ  เน้นจุดขายเป็นธรรมชาติ  ย่อยสลายได้ ปราศจากสารก่อภูมิแพ้  ทนสารเคมี เหมาะกับโรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น

นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า  ที่สำคัญต้อง ตั้ง “คณะทำงานเฉพาะกิจถุงมือยาง” ระหว่างภาครัฐ-เอกชน เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาดโลก และ เสนอแนวทำงานเชิงรุกต่อเนื่อง รายไตรมาส ในการทำหน้าที่ประสานในการแก้ปัญหาเร่งด่วน เช่น การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ หรือการเจรจากับประเทศปลายทาง เจาะตลาดใหม่ เพิ่มมากขึ้น ในการผลักดันการจัดทำเอฟทีเอ กับประเทศต่างๆ  หรือกลุ่ม MERCOSUR คือ ตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง แม้จะยังไม่แล้วเสร็จในปีนี้ อย่างน้อยควรมีการเริ่มต้นกรอบการเจรจา หรือลงนาม MOU เพื่อเปิดทางการค้าใหม่ขึ้น