KEY
POINTS
บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน หรือ 88TH เริ่มเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 โดยเทรดวันแรกในตลาดหลีกทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดราคาที่ 12.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.55 บาท หรือ 120.18% จากราคา IPO 5.45 บาท เสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 59.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 28% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “นพรัตน์ มาลัยวงค์” ผู้ก่อตั้งและผู้ขับเคลื่อนองค์กร 88(Thailand) เจ้าของแบรนด์ LYO
นพรัตน์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการสร้างธุรกิจว่า ก่อนปี 2558 ได้ทำธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลี โดยในเวลานนั้นได้มองเห็นช่องว่างในตลาดชัดเจน ผู้หญิงไทยต้องการของดีในราคาที่จับต้องได้ จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท 88(Thailand) และสร้างแบรนด์ของตัวเองชื่อ ver.88 โดยมีผลิตภัณฑ์แรกคือ แป้งดินน้ำมัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค หลังจากนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์ลิปสติก รองพื้น และบลัชออน
“ver.88 เป็นการสะท้อนความเชื่อของผู้หญิงยุคใหม่ว่าความสวยไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องใช้แล้วมั่นใจได้จริง”
อย่างไรก็ดี เมื่อโลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด–19 ที่ธุรกิจเครื่องสำอางทั่วโลกได้รับผลกระทบหนัก ตนมองเห็นโอกาสในวิกฤตจึงเริ่มผลิตเจลแอลกอฮอล์ภายใต้ ver.88 เพื่อให้บริษัทยังเดินต่อได้ แต่ในช่วงนั้ได้รู้จักแบรนด์ LYO ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะจากสมุนไพรไทย และลองใช้ด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าเป็นสูตรที่ดีแต่ยังไม่ถูกสื่อสารให้คนรู้จักในวงกว้าง
“ตนมองเห็นศักยภาพของแบรนด์ จึงขอซื้อมาพัฒนาและต่อยอดต่อจากเจ้าของเดิม เพื่อคงสิ่งที่ดีไว้ และเสริมสิ่งที่ขาดให้สมบูรณ์”
หลังจากนั้นตึงเริ่มปรับแบรนด์ใหม่ทั้งระบบ ตั้งแต่สูตร โลโก้ บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงกลยุทธ์การตลาด โดยยังคงทำงานร่วมกับเภสัชกรเจ้าของสูตรเดิม เพื่อรักษาคุณภาพและเพิ่มเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไป
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ LYO เติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้กรรชัย กำเนิดพลอยเป็นพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมพัฒนาสูตร การสื่อสารแบรนด์ ไปจนถึงการทำตลาดร่วมกัน ซึ่งช่วยให้ LYO กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ Hair Care ที่แข็งแรงของไทย
หลังจาก LYO ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในกลุ่ม Anti-Hair Loss บริษัทจึงขยายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม เช่นแชมพูปิดผมขาวพร้อมบำรุง และสูตรสมุนไพรไทยแท้ทั้งอัญชัน และมะกรูด เป็นต้น ส่งผลทำให้ LYO กลายเป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมครบทุกความต้องการของผู้ใช้
นพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า ตนได้มีการต่อยอดสกินแคร์ (Skincare) ภายใต้ชื่อ HONE โดยเป็นการใช้สารสกัดธรรมชาติจากเกาหลี เน้นสูตร Anti-Aging สำหรับผู้หญิงที่ต้องการดูแลตัวเองครบทั้งผมและผิว
สำหรับธุรกิจความงามนั้น ตนมองว่าต้องเดินพร้อมกันสองขา ทั้งคุณภาพของสินค้าและความเข้าใจผู้บริโภค โดยเลือกที่จะสร้างแบรนด์จากข้อมูลจริง ซึ่งมีการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ใช้ได้จริง เห็นผลจริง และทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ โดยบริษัทใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา ครอบคลุมทั้งสื่อหลัก สื่อออนไลน์ และสื่อดิจิทัลกว่า 19,000 จุดทั่วประเทศ
รวมถึงช่องทางขายแบบครบทุกมิติ ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านทำผม ร้านค้าปลีก ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะเชื่อว่าโอกาสในการขายเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าซื้อโรงงาน DOK SKIN เพื่อควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่สูตร การทดสอบ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ โดยการมีโรงงานเอง ทำให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ต่อเนื่อง และมั่นใจได้ว่าทุกชิ้นที่ออกจากโรงงานมีมาตรฐานเดียวกัน
นพรัตน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 88TH เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 66 มีรายได้ 365.08 ล้านบาท และกำไร 25.91 ล้านบาท ส่วนปี 67 มีรายได้ 479.08 ล้านบาท และกำไร 55.77 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรก 68 มีรายได้ 307.41 ล้านบาท และกำไร 50.45 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ต้องเรียนว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตระยะยาว โดยมองว่าธุรกิจที่ยั่งยืนต้องมีทั้งหัวใจและระบบที่แข็งแรง ตนตั้งใจจะสร้างธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลงทุนต่อเนื่องใน R&D และนวัตกรรมใหม่ รวมถึงศึกษาตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มจาก CLMV และจีน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการขยายในอนาคต