ThaiBMA ชี้เศรษฐกิจเปราะบาง หุ้นกู้เอกชนหด 9.1% Bond Yield ไทยร่วงรับดอกเบี้ยขาลง

07 ต.ค. 2568 | 07:21 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2568 | 07:21 น.

ThaiBMA เผยตลาดตราสารหนี้ไทยโตเพียง 3.5% หลังเศรษฐกิจชะลอตัวและการเมืองไม่แน่นอน กดการออกหุ้นกู้เอกชนลดลง 9.1% ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาลง ด้านนักลงทุนต่างชาติถือครองลดเหลือ 5%

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยที่เปราะบางและเติบโตในระดับต่ำ ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในช่วง 3 ไตรมาสแรกลดลง 9.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ปรับตัวลดลงทั้งเส้น เพื่อตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยรวม 3 ครั้งในปีนี้
  • ตลาดคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2568 อัตราการขยายตัวมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ รวมไปถึงความขัดแย้งทางชายแดนกับประเทศกัมพูชา ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัว 3.5% จากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ มูลค่าตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัว 3.5% จากสิ้นปี 2567 โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 17.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 95% ของ GDP ไทย เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีที่แล้ว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐเป็นหลัก ในขณะที่มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา

ขณะที่การออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในช่วง 3ไตรมาสแรกของปี 2568 มูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) เท่ากับ 640,002 ล้านบาท ลดลง 9.1% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นอัตราการปรับลดลงที่ต่ำกว่าเมื่อตอนไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากการที่ผู้ออกในกลุ่ม Investment grade เพิ่มการออกขึ้นมากในไตรมาส 3

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA

ผลตอบแทนพันธบัตรหดตามดอกเบี้ย

ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลง ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ปรับตัวลดลงทั้งเส้นในทิศทางเดียวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2568 รวม  3 ครั้ง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%

และด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปรับตัวลดลง เป็นผลให้ Bond yield ไทยรุ่น โดยเฉพาะในรุ่นที่มีอายุ 2 ปี, 5 ปี และ 10 ปี ปรับตัวลดลง 86 - 88 bps. จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับ 1.16%, 1.22% และ 1.42% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568

ด้านเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้รุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA  AA  A และ BBB+ ปรับตัวลดลง 72 - 110 bps. มาอยู่ที่ระดับ 1.71%, 2.17%, 2.55% และ 3.92% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568

สำหรับผลสำรวจจากผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 1 - 2 ครั้ง รวม 0.25 - 0.50% ลงมาอยู่ที่ 1.00 - 1.25% จากปัจจุบันที่ 1.50% สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทย ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า ปลายปี 2568 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะขยับตัวลดลงเฉลี่ยราว 10 - 15 bps. จากสิ้นไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และแผนการระดมทุนของภาครัฐ

ต่างชาติถือครองตราสารหนี้ลดลง

ประเด็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศนั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย รวมมูลค่า 29,038 ล้านบาท ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเป็นการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยในไตรมาส 1 และ 2 จำนวน 32,329 ล้านบาท

หากรวมกับการขายสุทธิ 3,291 ล้านบาทในไตรมาส 3 ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครอง โดยมีอายุคงเหลือเฉลี่ย 7.9 ปี ลดลงจาก 8.7 ปี เมื่อสิ้นปี 2567

โฟลว์ที่เข้ามายังตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เยอะมากนั้ก มองว่าไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า แม้กระทั่งในช่วงที่เงินบาทแข็งค่ามากๆ ก็ไม่ได้เห็นสัญญาณการมาของเม็ดเงินต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด ทำให้มองว่าเม็ดเงินปริศนาต่างชาติไม่ได้เข้ามายังตลาดตราสารหนี้