TU ฮอต! หุ้นกู้ยั่งยืนยอดจองพุ่ง 3.68 เท่า ระดมทุนทะลุเป้า มุ่งสู่ Blue Finance 100% ปี 73

30 ก.ย. 2568 | 06:34 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 06:34 น.

TU ตั้งเป้าหมายปี 73 ระดมทุนผ่าน Blue Finance 100% จากปัจจุบันทะลุเป้า 75% ชี้นักลงทุนเชื่อมั่นบริษัท ยอดจองหุ้นกู้ทะลุเป้า 3.68 เท่า ด้านมิตซูบิชิ ยกเลิกซื้อหุ้น TU หลังข้อเสนอซื้อไม่ถึงเป้า ย้ำยังดำเนินธุรกิจร่วมกันต่อ จากการเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่น

KEY

POINTS

  • ไทยยูเนี่ยน (TU) ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ยั่งยืน โดยมียอดจองซื้อสูงกว่าเป้าหมายถึง 3.68 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท
  • จากความต้องการที่ล้นหลาม บริษัทได้ตัดสินใจเพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้จาก 7,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท
  • การระดมทุนครั้งนี้ทำให้สัดส่วนเงินทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล (Blue Finance) ของบริษัทเพิ่มเป็น 80% ของเงินกู้ระยะยาวทั้งหมด และเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573

นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า การออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) หรือ Blue Bond, หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน Sustainability-Linked Bond หรือ SLB และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainbility-Linked Loan หรือ SLL) พร้อมกันในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก

โดยมียอดจองซื้อทะลุเป้าหมาย 3.68 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท จากเป้าหมายการระดมทุนที่ 7,000 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงได้เพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้เพิ่มเป็น 9,000 ล้านบาท 

การระดมทุนครั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย Blue Finance หรือ การบริหารจัดการทางการเงินเพื่อทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล โดยสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายในปีนี้ ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นระดับที่ 80% พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573 

ทั้งนี้ ธุรกรรมล่าสุดในเดือน ก.ย. มีมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยลงนามกับสถาบันการเงินเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา และหุ้นกู้ 9,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง หุ้นกู้ Blue Bond และหุ้นกู้ SLB 

จากความต้องการจากนักลงทุน ส่งผลให้ยอดจองหุ้นกู้เกินกว่ายอดเสนอขาย ทำให้บริษัทสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดของช่วงเสนอขายในทุกช่วงอายุของหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อสถานะทางการเงินและวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัท

ยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU

ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่ออกล่าสุดประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 4 ปี ซึ่งออกเป็น Blue Bond วงเงิน 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.70%, หุ้นกู้อายุ 7 ปี ออกเป็น SLB วงเงิน 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.20% และหุ้นกู้อายุ 10 ปี ออกเป็น SLB วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.46% โดยหุ้นกู้อายุ 10 ปี เป็นหุ้นที่มีความต้องการสูงมากในครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

นายยงยุทธ กล่าวว่า เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทยังได้รับเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางทะเลมูลค่า 5,000 ล้านบาทจากธนาคารพัฒนาเอเชีย และกลุ่มธนาคารพันธมิตร ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารในไทย เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนลากรรับรองมาตรฐานสำหรับเกษตรกรกุ้ง ส่งผลให้บริษัทสามารถระดมทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล รวมทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาทภายในปีนี้ 

สำหรับเงินกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ ช่วงปลายปีประมาณ 12,000 ล้านบาท และในปี 2659-2571 ยังมีเงินกู้ที่ครบดีลอย่างต่อเนื่อง 

ด้านนโยบายการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนนั้น บริษัทมีการทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ทุกครั้ง โดยมีการ Lock Forward เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อล็อกความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ และปิดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าด้วย เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกถึง 90% 

ส่วนกรณีที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประกาศยกเลิกข้อเสนอซื้อหุ้นบริษัทโดยอัตโนมัติ หลังมีการตอบรับข้อเสนอซื้อไม่เพียงพอนั้น ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ ส่วนมิตซูบิชิ จะดำเนินการอย่างไรต่อนั้น ขึ้นอยู่กับมิตซูบิชิ จะเป็นผู้พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การที่นักลงทุนไม่ตอบรับข้อเสนอนั้น มองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท

ดีลดังกล่าวเกิดจาก มิตซูบิชิ ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5-8% ซึ่งเขามองว่าหากจะทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต อยากจะให้มี Impact ถึงบริษัทด้วย ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นจึงมีการขอตั้งโต๊ะรับซื้อแบบมีเงื่อนไข แต่ทั้งนี้เมื่อต้องยกเลิก เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน