หอการค้าฯ ผวาบาทแข็งค่าสุดรอบ 4 ปี กระทบหนักภาคธุรกิจ วอนรัฐเร่งหามาตรการรองรับ

09 ก.ย. 2568 | 03:13 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ย. 2568 | 03:23 น.

เงินบาทแข็งสุดในรอบ 4 ปี หอการค้าฯชี้กระทบหนัก ส่งออก-ท่องเที่ยว-เกษตรทรุด วอนรัฐเร่งหาทางรับมือ ก่อนธุรกิจไทยเสียเปรียบยาว

KEY

POINTS

  • หอการค้าฯ แสดงความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งส่งผลกระทบหนักต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม
  • ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาจากปัจจัยภายนอก เช่น การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการฯ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนแตะระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี (รอบ 4 ปี)และสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ

ดร.พจน์ เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 • ภาคการส่งออก : ต้องเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบาก เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ส่งผลต่อยอดขายและรายได้จากต่างประเทศ

 • ภาคการท่องเที่ยว : ความแข็งค่าของเงินบาททำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดแรงจูงใจในการเดินทางมาไทย

 • ภาคเกษตรกรรม : เกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออกได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนและรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าเงิน โดยเฉพาะข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกมา

ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งรุนแรงกว่าประเทศอื่น หอการค้าไทยชี้ว่า การแข็งค่าของเงินบาทครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจาก

 1. เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะต่อไป ทำให้ค่าเงินของหลายประเทศในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นโดยอัตโนมัติ

 2. ปัจจัยด้านทองคำ ประเทศไทยมีการถือครองทองคำจำนวนมาก และราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขายทองคำออกมาเป็นเงินตราต่างประเทศ และแปลงกลับเป็นเงินบาท ส่งผลให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่ค้าอย่างผิดปกติ รวมถึงมี fund flow ที่เข้ามาประเทศด้วย ซึ่งอาจจะมาจากพวก Crypto ด้วย

นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมความเปราะบาง ได้แก่

 • มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่หลายประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป กำลังทบทวนหรือพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากเงินบาทแข็ง

 • ข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างเข้มข้นอาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่า “บิดเบือนค่าเงิน” โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับ การเจรจาภาษีการค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องวางนโยบายอย่างรอบคอบ

  • ข้อเสนอของหอการค้าไทย

ที่ผ่านมา หอการค้าไทยและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เคยเสนอแนวทางว่า ควร แยกดุลทองคำออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้ตรงจุด พร้อมทั้งเสนอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาจัดการดูแลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะหากปล่อยให้กลไกค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย จะทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า

ดร.พจน์ ย้ำว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แม้ภาครัฐจะใช้เงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจต้องใช้เงินจำนวนมากและเสี่ยงต่อการสูญเปล่าโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจริงและไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

“เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย แต่กลับทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน”ดร.พจน์ กล่าว