กูรูชี้อัพไซต์ตลาดหุ้นจำกัด พื้นฐานกำไรบจ.-เศรษฐกิจชะลอ แนะจับตาการเมืองไทย

03 ก.ย. 2568 | 09:30 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2568 | 09:30 น.

โบรกชี้ตลาดหุ้นไทยไม่หลุดกรอบ 1,260 จุด หลังอัพไซด์กรอบจำกัด พื้นฐานทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และเศรษฐกิจยังกดดัน พร้อมแนะจับตาการเมืองไทย

KEY

POINTS

  • บล.พาย ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้น (Upside) ได้อย่างจำกัด เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
  • ปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทยคือภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • พร้อมแนะจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางตลาดและอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้ (3 ก.ย.) จากการประเมิน SET Index วันนี้ ยังเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด 1,240 - 1,260 จุด ไม่ว่าอย่างไรพื้นฐานทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และเศรษฐกิจยังจำกัด Upside ของดัชนี ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน น้ำหนักอยู่ที่วันนี้ความคืบหน้าทางการเมืองเป็นหลัก

โดยเมื่อพรรคประชาชนตัดสินใจเลือก 'นายอนุทิน ชาญวีรกูล' และสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ แต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาล และเลือกไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตัวเลขสนับสนุนฝ่ายนายอนุทินจึงลดลงทันทีเหลือเพียง 147 เสียง ซึ่งจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย

แม้การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยลักษณะนี้ นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่เชื่อว่าหาก 'อนุทิน' ขึ้นเป็นนายกฯ จะช่วยทำให้บรรยากาศการเมืองไทยดูมีความผ่อนคลายมากขึ้น เชื่อว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาโดยเฉพาะการบริโภคแม้รัฐบาลอาจจะมีเวลาบริหารประเทศไม่นานก็ตาม (4 เดือน)

ในขณะเดียวกันก็ต้องติดตามท่าทีของพรรคเพื่อไทย (รักษาการ) เพราะตัดสินใจยุบสภา ซึ่งหากตัดสินยุบสภาแล้ว คณะรัฐมนตรีจะรักษาการต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามา แต่อย่างไรก็ตามอำนาจของรักษาการจะถูกจำกัด และไม่สามารถอนุมัติโครงการที่มีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดถัดไปพร้อมกับจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในกรอบเวลาไม่น้อยกว่า 45 วันแต่จะไม่เกิน 60 วัน (นับจากวันยุบสภา)

และในส่วนของเศรษฐกิจพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ฟื้นตัว (นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน -7.2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) และรายสัปดาห์พบว่าจีนลดลงมากถึง -24% จากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนว่านักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาอย่างมีนัยยะ มองเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจไทย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น หากมองที่การลงทุนระยะสั้นเลือกกลุ่มที่คาดหวังจะได้ประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) การเงิน (MTC SAWAD) ธนาคาร (SCB)

หุ่นเด่นแนะนำ

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท) 

  • รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ที่ 6.8 พันล้านบาท (+9% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) หลังตัดรายการพิเศษมีกำไรปกติ 7 พันล้านบาท (+14% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ -7% จากไตรมาสก่อน) ใกล้เคียงกับที่ทางฝ่ายและตลาดคาดหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 30 bps เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
  • แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ที่ 0.8% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายสูงขึ้น 20 bps เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

SCB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 137.00 บาท) 

  • ทางฝ่ายชอบที่ SCB มุ่งมั่นในการเพิ่ม ROE และรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 9.2% และคาดกำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ที่ 7.2% ในปี 2568
  • สำหรับแนวโน้มในครึ่งหลังปีนี้ คาดกำไรจะทรงตัว เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่จะปรับลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปีนี้