Finnomena ประเมินความเสี่ยงการเมืองไทยยังสูง ก่อนศาล รธน.วินิจฉัยคดีนายกฯ 29 ส.ค. โดยวิเคราะห์ 4 ฉากทัศน์ อยู่ต่อ, พ้นตำแหน่ง, ตัดสินใจลาออก,ยุบสภา ล้วนส่งผลต่อตลาดทุน ค่าเงินบาท และเครดิตเรตติ้งไทย
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ความเห็น กรณีวันที่ 29 สิงหาคม ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) จะมีการวินิจฉัยคดี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
ความเสี่ยงการเมืองไทยขณะนี้อยู่ในระดับสูงเล็กน้อย โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนในคดีของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มเติม สถานการณ์นี้คล้ายกับช่วงปี 2566-2567 ที่มีการยุบพรรค และเปลี่ยนรัฐบาล แต่ครั้งนี้แรงกดดันมาจากพันธมิตรรัฐบาลและสมาชิกสภาบางส่วนที่เรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเพื่อรักษาเสถียรภาพ
นักลงทุนต่างชาติ จากการได้พูดคุยกับ Fund Manager บางรายในภูมิภาค ให้น้ำหนักปัจจัยการเมืองในระดับปานกลางถึงสูง โดยเฉพาะในช่วงสั้น เนื่องจากการเมืองไทยมีประวัติความผันผวนที่กระทบตลาดทุนบ่อยครั้ง
จากข้อมูลของ Bloomberg และ Reuters ในเดือนสิงหาคม 2568 นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ต โดยลดน้ำหนักหุ้นไทยลงเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวน (Volatility) แต่นักลงทุนก็ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การส่งออกและการท่องเที่ยว มีน้ำหนักมากกว่า
หากการเมืองยืดเยื้อ อาจทำให้ต่างชาติชะลอการลงทุนใหม่ โดยหันไปตลาดอาเซียนอื่นๆ ที่เสถียรภาพสูงกว่า เช่น เวียดนามหรืออินโดนีเซีย
ฉากทัศน์แรก หากศาลตัดสินไม่มีความผิด ให้อยู่ต่อ จะช่วยเสริมเสถียรภาพรัฐบาลในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม อาจจุดประกายการประท้วงหรือคดีใหม่จากฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้ความเสี่ยงยืดเยื้อและตลาดทุนชะลอตัว
ฉากทัศน์ต่อมา หากศาลตัดสินให้พ้นตำแหน่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในพรรคเพื่อไทย เพื่อรักษาเสถียรภาพ จะผลกระทบระยะสั้นคือ ตลาดผันผวนจากความไม่แน่นอน แต่เสถียรภาพก็ยังต่ำ จากการที่มีเสียงในสภาลดลง จึงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว
ฉากทัศน์ถัดมา หากตัดสินใจลาออกก่อนศาลพิพากษา ต้องจับตาดูว่า จะนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ได้หรือไม่ หรือพรรคเพื่อไทยยังบริหารต่อไป
ฉากทัศน์สุดท้าย หากยุบสภา ก็จะเป็นความเสี่ยงระยะสั้นต่อเศรษฐกิจไทย แต่ในแง่ตลาดทุน นักลงทุนอาจจะมั่นใจเพิ่มขึ้น เพราะสามารถลดความขัดแย้งจากประเด็นนี้ไปได้ ลดแรงกดดันจากฝั่งตรงข้ามได้ระดับหนึ่ง
เครดิตเรตติ้ง ความไม่แน่นอนอาจกดดันให้หน่วยงานอย่าง Fitch หรือ Moody's ทบทวนเรตติ้งของไทย (ปัจจุบันอยู่ที่ BBB+ Stable) หากรัฐบาลล้ม อาจ ลดระดับ (Downgraded) 1 ขั้น ส่งผลให้ต้นทุนกู้ยืมของรัฐและเอกชนสูงขึ้น แต่หากเสถียรภาพฟื้นเร็ว เรตติ้งจะคงที่
ค่าเงินบาท อาจอ่อนค่าลงหากเกิดวิกฤต โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2568 บาทอยู่ราว 32.7 ต่อดอลลาร์สหรัฐหากการเมืองยืดเยื้อ อาจแตะ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจากเงินทุนไหลออก (Fund outflow) แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพ
SET Index Finnomena มองกรอบบนที่ 1,280 จุด เป็นแนวต้านสำคัญ หากกรณีการเมืองคลี่คลาย และดัชนีทะลุผ่าน 1,280 จุด ได้ Upside ข้างบนในครึ่งปีหลังจะเปิดกว้างถึง 1,350 - 1,400 จุดได้ แต่หากไม่ผ่านแนวต้าน พร้อมกับประเด็นการเมืองไม่คลี่คลาย ต้องระวังดัชนีหลุดต่ำกว่า 1,200 จุดลงมาอีกครั้ง
ในมุม กระแสเงินทุน (Fund Flow ) ต่างชาติจะตอบสนองแบบระมัดระวัง (Cautious) โดยชะลอ กระแสเงินทุนไหลเข้า (Inflow) ชั่วคราว หากการเมืองยืดเยื้อ
จากข้อมูล Bloomberg เดือนสิงหาคม 2568 มีเงินทุนไหลเข้าตลาดไทยหลังธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ความเสี่ยงทางการเมือง (Political risk) อาจทำให้ต่างชาติขายสุทธิ (Net sell) หุ้นไทยในเดือนกันยายน ได้สูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อย้ายไปตลาดที่เสี่ยงน้อยกว่า
นอกจากนี้ Finnomena ยังประเมินว่า ความเสี่ยงการเมืองนี้จะกดดันความน่าสนใจของไทยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียนในระดับปานกลาง โดยเฉพาะเวียดนาม (โตเร็วจาก FDI) และอินโดนีเซีย (เสถียรภาพสูงกว่า)
ตลาดทุนไทยยังมีจุดแข็งจาก หุ้นกลุ่ม High Dividend ที่ยังมีความสามารถจากปันผลได้ในระดับสูงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค รวมถึงกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและการท่องเที่ยว หากจัดการกับการเมืองได้ดี ความน่าสนใจจะฟื้นตัวเร็ว