ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป หรือ TFPA เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในกรณีคดีของนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ 2 แนวทางที่ส่งผลกระทบแตกต่างกัน กรณีแรก หากนายกรัฐมนตรีลาออก จะเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน
โดยภาคเอกชนและนักลงทุนต้องรอดูสถานการณ์ รอความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องประคองตัวเองให้ดี เดินหน้าธุรกิจให้ไปต่อด้วยตัวเอง เพราะการพึ่งพาภาครัฐเป็นไปได้ยาก ซึ่งกระบวนการจัดตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือรวมถึงผู้บริหารฝ่ายต่างๆ อาจล่าช้าและส่งผลกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมได้
ในกรณีถัดมา หากนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป แม้จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายระยะสั้นได้ แต่ก็ทำให้สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบันดำเนินต่อไป และทยอยติดลบลงเรื่อยๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“ต้องยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเราไม่ดี ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่รุมเร้า หลายสาเหตุทำให้การประเมินจีดีพีต่ำลง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่พลิกผัน หรือไม่เป็นไปตามครรลอง ถูกบิดเบือน ก็จะส่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสังคม และอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว ส่งผลให้เศรษฐกิจที่ยังเปราะบางอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง“
ดร.องอาจ กล่าวว่า ตอนนี้นักธุรกิจหรือนักลงทุนต่างชาติมองว่าการเมืองของประเทศไทยไม่นิ่ง เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ดี เกิดการตั้งคำถามว่าผู้นำรัฐบาลเป็นใคร จะมีนายกคนใหม่ไหม เป็นใคร นโยบาลจะเปลี่ยนหรือไม่อย่างไร โดยภาพลักษณ์ที่สะท้อนออกไปไม่มีความมั่นคง โชคดีที่พื้นฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยแข็งแรง แม้เศรษฐกิจไม่ดีก็ยังมีธุรกิจที่ไปต่อได้
อย่างไรก็ตาม ปัญจัยสำคัญที่ยังพอช่วยผลักดันธุรกิจได้คือเรื่องภาษีสหรัฐฯ ที่มีความชัดเจนแล้วจาก 36% ลดเหลือ 19% อย่างแน่นอน ดังนั้นต้องมาลุ้นกันว่านายกรัฐมนตรีจะอยู่หรือจะไป นโยบายหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร