WHA โชว์ผลงาน 6 เดือนปี 68 ทำกำไรสุทธิแตะ 3.05 พันล้าน โต 15%

08 ส.ค. 2568 | 11:46 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ส.ค. 2568 | 11:46 น.

WHA โชว์ฟอร์ม 6 เดือนแรกปี 68 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ด้านกำไรปกติพุ่งแตะ 3,148 ล้านบาท เติบโต 24% ส่งสัญญาณบวกต่อเนื่อง เผยครึ่งปีหลังปีนี้จ่อเซ็นสัญญาขายที่ดินลูกค้ากว่าพันไร่

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA Group เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 68 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 9,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และกำไรสุทธิ 3,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และกำไรปกติ 3,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่นของ 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจโลจิสติกส์, ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม, ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) และไฟฟ้า, ธุรกิจดิจิทัล และ ธุรกิจโมบิลิตี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้รับอานิสงส์จากการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้ต่อเนื่อง ธุรกิจโลจิสติกส์ที่เติบโตตามพื้นที่ให้เช่าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART มูลค่ารวม 808 ล้านบาท

นิคมอุตสาหกรรม

โดยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรก 68 บริษัทมียอดขายที่ดินรวม จำนวน 1,105 ไร่ ซึ่งสามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจที่ดินในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 รวม 1,276 ล้านบาท และ 4,857 ล้านบาท ตามลำดับ

สาเหตุที่รายได้และส่วนแบ่งกำไรครึ่งแรกปี 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากราคาขายที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับยอดโอนที่ดินรวมในครึ่งปีแรกที่ยังอยู่ในระดับสูง ตามภาวะการลงทุนที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการย้ายฐานการลงทุน/การผลิต (Relocation) และการขยายธุรกิจ (Business Expansion) มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง

สอดคล้องกับภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกปี 68 ของไทยที่มีมูลค่ารวมกว่า 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/68 มียอดขายที่ดินรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้า 1,467 ไร่ และยอด Outstanding LOI/ MOU ที่อยู่ในระดับสูง จำนวน 1,427 ไร่ สะท้อนถึงความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับสูง

“ไตรมาส 2/68 บริษัทได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัท Beijing Haoyang เพื่อสร้าง Data Center ระดับไฮเปอร์สเกล มูลค่า 72,670  ล้านบาท ซึ่งเป็นสเกลที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำของไทยในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ ยังมีลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์อีกหลายรายที่อยู่ระหว่างเจรจา” 

ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่จากภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อซื้อที่ดิน อาทิ บริษัทอิเล็กทรอนิคและเครื่องใช้ไฟฟ้า พื้นที่รวม 530 ไร่ และบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ ที่มีแผนซื้อที่ดิน กว่า 470 ไร่ เพื่อตั้งฐานการผลิตในไทย โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับลูกค้า ภายในครึ่งปีหลังปี 68 นี้

ปัจจุบัน WHA Group มีทั้งหมด 16 นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเวียดนาม และมีพื้นที่นิคมฯ ในประเทศไทย ที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,900 ไร่ โดยโครงการล่าสุด ได้แก่ WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 เฟส 1 และ 2 พื้นที่รวมกว่า 5,000 ไร่ รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาโครงการ และคาดว่าที่ดินแปลงแรก พร้อมโอนให้แก่ลูกค้าได้ภายในไตรมาส 1/69 นี้

ส่วนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม บริษัทมีนิคมฯ ที่พัฒนาแล้ว พื้นที่ 3,125  ไร่ (500 เฮกตาร์) ได้แก่ WHA Industrial Zone 1 – Nghe An ที่จังหวัดเหงะอาน (Nghe An) และ อีก 3 โครงการ มีแผนการดำเนินการก่อสร้างในช่วงปี 68 - 69 พื้นที่รวม 3,353 ไร่ (537 เฮกตาร์)

และยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hóa), จังหวัดดานัง (Da Nang) และจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย

โลจิสติกส์

ในด้านการเติบโตที่โดดเด่นของธุรกิจโลจิสติกส์นั้น บริษัทมีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 3,163,552 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดยรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจให้เช่าและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 ทั้งสิ้น 556 ล้านบาท และ 1,048 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลจากการตอบรับที่ดี จากลูกค้าชั้นนำจากหลายอุตสาหกรรม

ส่งผลให้สามารถลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่ม รวม 123,237 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่ารวม 2,153 ล้านบาท และมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง จำนวน 46,540  ตร.ม. และยังได้รับการคัดเลือก (Award) จากกลุ่มลูกค้าผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ที่มีความต้องการเช่าคลังสินค้าคุณภาพสูง พื้นที่รวม 32,000 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าสัญญากว่า 1,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่บนทำเลที่มีศักยภาพในประเทศไทย พื้นที่กว่า 380,000 ตร.ม. ได้แก่ WHA Mega Logistics Center ชลหารพิจิตร กม.4 โครงการ 2, WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21 เฟส 3 และ WHA Mega Logistics Center บางนา - ตราด กม. 23 Inbound

ขณะเดียวกัน ศูนย์โลจิสติกส์เซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศเวียดนาม พื้นที่ 37,500 ตร.ม. ภายในนิคมอุตสาหกรรมมินห์กวาง จังหวัดฮึงเอียน ล่าสุดมีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจและทยอยลงนามเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU กับรัฐบาลท้องถิ่น จังหวัด Thanh Hoa เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่

“บริษัทประสบความสำเร็จในการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART พื้นที่รวม 32,524  ตร.ม. คิดเป็นมูลค่ารวม 808 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเป้าหมายทั้งปี ในการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ฯ พื้นที่ราว 70,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท”

สาธารณูปโภค น้ำ-ไฟฟ้า

ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) ในครึ่งแรกปี 68 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจสาธารณูปโภครวม โดยในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 เท่ากับ 824 ล้านบาท และ 1,572 ล้านบาท ตามลำดับ จากปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 เท่ากับ 40.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 80.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ

โดยเป็นยอดจำหน่ายน้ำภายในประเทศ ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 จำนวน 30.8 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 61.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จากปริมาณยอดขายน้ำให้กับลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมีที่ลดลง

ขณะที่ปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product) มีการเติบโตโดดเด่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของลูกค้าใหม่ โดยในไตรมาส 2/68 บริษัทรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการขอใช้น้ำเกินกว่าที่จัดสรร (One-time Charge) จำนวน 84 ล้านบาท จากลูกค้าที่มีความต้องการใช้น้ำปริมาณมาก 

ขณะที่ประเทศเวียดนาม บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 68 เท่ากับ 9.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 18.6 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตขึ้นจากการขยายพื้นที่การให้บริการให้กับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

ด้านธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกปี 68 รับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์เท่ากับ 123 ล้านบาท และ 254 ล้านบาท ตามลำดับ และมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าเท่ากับ 162 ล้านบาท และ 338 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในไตรมาส 2/68 มีการเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA เพิ่มจำนวน 13 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 11 เมกะวัตต์

ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/68 มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสม จำนวน 315 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 991 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวน 706 เมกะวัตต์ (เป็นพลังงานหมุนเวียนจำนวน 178 เมกะวัตต์) และที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 285 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด

“ครึ่งปีแรก 68 บริษัทมีปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 98 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีโครงการระหว่างก่อสร้างที่คาดจะแล้วเสร็จภายในปี 68 จำนวนกว่า 100 เมกะวัตต์ และยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกนิคมฯ ดับบลิวเอชเอทั้งในและต่างประเทศ"

ดิจิทัล

ส่วนธุรกิจดิจิทัลนั้น บริษัทยังผลักดันสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Organization) จากการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรในด้านนวัตกรรมและการทำโครงการ Digital Transformation ในทุกมิติ

พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ Mobilix Software Solution แพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ เพื่อสนับสนุนธุรกิจโมบิลิตี้ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด

และยังได้เปิดให้บริการ WHASApp แอปพลิเคชันที่ปฏิวัติการสื่อสารระหว่างลูกค้าและทีมงาน WHA อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ CO2ZERO สำหรับการบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่พร้อมรายงานแสดงผลตามมาตรฐาน

ส่งผลให้ในปัจจุบัน WHASApp มีผู้ใช้งานกว่า 1,500 ราย และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจ WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย อย่าง Artificial Intelligence (AI), Internet-of-Thing (IoT) ทำให้ปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาถึง 12 โครงการ อาทิ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar เป็นต้น

โมบิลิตี้

สำหรับธุรกิจโมบิลิตี้นั้น บริษัทมุ่งขยายธุรกิจโมบิลิตี้ Built-to-Suit EV ecosystem of Logistics ให้ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และการให้บริการอย่างครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix ซึ่งประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือ

  • บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร
  • สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution)
  • บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/68 มียอดการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวม 372 คัน