ทำความรู้จัก front running ในธุรกิจจัดการกองทุนรวมคืออะไร

07 ส.ค. 2568 | 23:00 น.

“Front Running” เกมลับผู้จัดการกองทุน ผลประโยชน์ทับซ้อนที่กระทบความเชื่อมั่นตลาดทุน รู้เท่าทันกลโกงเบื้องหลังการจัดการกองทุนรวม วิธีแสวงหากำไรส่วนตัวจากคำสั่งซื้อของลูกค้า ก.ล.ต. เดินหน้าล่าความไม่โปร่งใสเข้มข้น

"Front running" ในธุรกิจจัดการกองทุนรวม คือ การที่ผู้จัดการกองทุน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนรวม ใช้อำนาจหน้าที่หรือข้อมูลภายในที่ตนเองรู้ล่วงหน้า เพื่อซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในบัญชีส่วนตัวของตนเองก่อนที่จะดำเนินการซื้อขายในนามของกองทุนรวม

การกระทำ Front running ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายในในทางมิชอบอย่างหนึ่ง และเป็นการละเมิดหลักการ fiduciary duty ที่ผู้จัดการกองทุนมีต่อผู้ลงทุนอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมและทำลายความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยสิ้นเชิง

ก.ล.ต. จึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและลงโทษการกระทำความผิดประเภทนี้อย่างเข้มงวด การทำ Front Running ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความน่าเชื่อถือในธุรกิจการจัดการกองทุนรวม เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักการและจรรยาบรรณวิชาชีพ

สมมติว่าผู้จัดการกองทุนรวมมีคำสั่งซื้อหลักทรัพย์จำนวนมหาศาล (Block order) ซึ่งการซื้อในปริมาณมากขนาดนี้จะส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน ผู้จัดการกองทุนคนนั้นอาจจะใช้โอกาสนี้ ซื้อหลักทรัพย์ตัวเดียวกันในบัญชีส่วนตัวของตนเองก่อน จากนั้นจึงค่อยซื้อในนามของกองทุนรวม เมื่อราคาหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อของกองทุนรวม ผู้จัดการกองทุนก็จะขายหลักทรัพย์ที่ตนเองซื้อไว้ก่อนหน้านี้เพื่อทำกำไรส่วนตัว

ผลกระทบของ Front running

สร้างความเสียหายแก่ผู้ลงทุนในกองทุนรวม: ผู้ลงทุนในกองทุนรวมจะได้รับความเสียหายเนื่องจากต้องซื้อหลักทรัพย์ในราคาที่สูงขึ้น หรือขายในราคาที่ต่ำลง เพราะการซื้อขายล่วงหน้าของผู้จัดการกองทุน ทำลายความน่าเชื่อถือของตลาดทุน

Front running เป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณและผิดกฎหมาย ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม ขัดต่อหลักการ fiduciary duty ผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้รับมอบอำนาจ (fiduciary duty) ที่จะต้องกระทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน การกระทำ Front running จึงเป็นการละเมิดหน้าที่นี้อย่างร้ายแรง
 

กฎหมายและการป้องกัน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีกฎหมายและแนวทางที่เข้มงวดเพื่อป้องกันและลงโทษการกระทำ Front running เช่น การกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกองทุนเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง และการมีระบบตรวจสอบที่รัดกุมเพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมที่อาจเข้าข่าย Front running นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญาสำหรับผู้ที่กระทำความผิดดังกล่าว

ตามกฎหมายไทย มีความผิดอย่างไร?

Front running เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจนในประเทศไทย โดยถูกควบคุมและลงโทษภายใต้ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งถือเป็นกฎหมายหลักในการกำกับดูแลตลาดทุน

ความผิดฐาน Front running มักถูกพิจารณาควบคู่ไปกับความผิดฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลภายในในทางมิชอบ (Insider Trading) และการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีบทลงโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

1. โทษทางอาญา
การกระทำ Front running อาจเข้าข่ายความผิดฐานต่างๆ ในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง เช่น

  • มาตรา 244/1 และ 244/2 : เกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ หรือการให้ข้อมูลเท็จเพื่อสร้างราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น
  • มาตรา 296 : กำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามมาตรา 244/1 หรือมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 296/2 : กำหนดโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงจะได้รับจากการกระทำความผิด

2. มาตรการลงโทษทางแพ่ง
นอกจากโทษทางอาญาแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีมาตรการลงโทษทางแพ่งที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กันได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้กับผู้กระทำความผิดโดยตรงและมีความรุนแรงไม่แพ้กัน ได้แก่

  • ชดใช้ค่าปรับทางแพ่ง : ผู้กระทำความผิดต้องชำระค่าปรับเป็นจำนวนเงินที่กำหนด
  • ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับ : ต้องคืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงจะได้รับจากการกระทำความผิดทั้งหมด
  • ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า : ห้ามทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
  • ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร : ห้ามดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
  • ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ : ผู้กระทำความผิดต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ ก.ล.ต. ใช้ในการตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานคืนให้

มาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) เป็นบทบัญญัติที่กำหนดบทลงโทษในกรณีที่บุคคลกระทำความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์

โดยสรุปแล้ว มาตรานี้ระบุว่าบุคคลที่กระทำความผิดตามมาตราต่างๆ ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ อาจต้องได้รับโทษ ปรับทางแพ่ง และอาจถูกสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ หรือห้ามเป็นผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทหลักทรัพย์
 

รายละเอียดบทลงโทษ

เมื่อมีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายมาตรานี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีอำนาจในการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด ซึ่งอาจประกอบด้วย:

  • ชำระค่าปรับทางแพ่ง : เป็นการปรับตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
  • ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับ : ผู้กระทำความผิดจะต้องคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดทั้งหมด
  • ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ : อาจถูกสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
  • ห้ามเป็นผู้บริหาร : อาจถูกสั่งห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
  • ชดใช้ค่าใช้จ่าย : ผู้กระทำความผิดอาจต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบคืนแก่ ก.ล.ต.

มาตรา 315 นี้มักถูกนำมาใช้ประกอบกับมาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น การใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) หรือการสร้างราคาหลักทรัพย์ (Market Manipulation) เพื่อให้การลงโทษมีความเด็ดขาดและครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งการลงโทษทางแพ่งนี้เป็นมาตรการที่แยกจากการดำเนินคดีอาญา เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
 

ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ

1. การสูญเสียความไว้วางใจของผู้ลงทุน

หัวใจสำคัญของธุรกิจกองทุนรวมคือ ความไว้วางใจ ที่ผู้ลงทุนมีต่อบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) และผู้จัดการกองทุนในการบริหารเงินลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การทำ Front Running เป็นการใช้ข้อมูลของลูกค้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ผู้ลงทุนรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบและถูกทรยศความไว้วางใจที่มอบให้ ซึ่งเมื่อความไว้วางใจถูกทำลายแล้ว ยากที่จะกู้คืนกลับมา

2. การละเมิดหน้าที่และความรับผิดชอบ

ผู้จัดการกองทุนมี Fiduciary Duty หรือหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้รับมอบอำนาจที่จะต้องกระทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุนในกองทุนรวมเท่านั้น การทำ Front Running ถือเป็นการละเมิดหน้าที่นี้อย่างร้ายแรง เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและผิดกฎหมาย ทำให้ผู้จัดการกองทุนหรือ บลจ. ที่เกี่ยวข้องอาจถูกลงโทษทางกฎหมายอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

3. ผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุน

การทำ Front Running อาจส่งผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ที่กองทุนกำลังจะซื้อขาย ทำให้ราคาหลักทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ผู้กระทำความผิดต้องการ ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนของกองทุนสูงขึ้น หรือขายหลักทรัพย์ได้ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อผลตอบแทนและ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของผู้ลงทุนในกองทุนรวม

4. การทำลายภาพรวมของอุตสาหกรรม

เมื่อมีกรณี Front Running เกิดขึ้น ข่าวสารจะถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเกิดความคลางแคลงใจต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะ บลจ. ที่ทำผิดเท่านั้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ลงทุนลดความสนใจในการลงทุนในกองทุนรวมโดยรวม และหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มองว่ามีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากกว่า
 

มาตรการป้องกัน

เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด เช่น การออกกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ บลจ. มีระบบงานในการตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์ส่วนตัวของพนักงาน

รวมถึงการห้ามไม่ให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ที่อยู่ในรายการลงทุนของกองทุน นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษที่รุนแรงทั้งทางอาญาและทางแพ่งสำหรับผู้ที่กระทำความผิดอีกด้วย