นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดมุมมองต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ว่า หลังจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความบานปลายในหลายพื้นที่ตะเข็บชายแดนโดยเฉพาะบริเวณชายแดนช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานีจึงทำให้รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการตอบโต้
สถานการณ์นี้กำลังถูกจับตามองจากสื่อระหว่างประเทศ และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในระยะยาว รวมถึงอาจสร้างปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม Downside ต่อ GDP ของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 68 นี้ เป็นต้นไป
ทั้งนี้ จากตัวเลข NET EXPORTS (การค้าระหว่างประเทศ) ที่มีสัดส่วนราว 5% ของ GDP โดยกัมพูชามีดุลการค้ากับไทยราว 8 พันล้านดอลลาร์ ณ ปี 67 หากพิจารณา 10 สินค้าส่งออกมากสุดของไทยไปกัมพูชา ได้แก่
ซึ่งส่วนที่จะกระทบกับหุ้นในบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะเป็นกลุ่มเครื่องดื่ม
โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า CBG จะได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มาจากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมด
นอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบการร่วมทุน (JV) ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 69
ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชาคิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายโดยรวม
ขณะที่ นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ทางฝ่ายยังประเมินว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจจำกัด
เนื่องด้วยหากพิจารณาการส่งออกไทย 3 ประเทศหลักได้แก่ สหรัฐฯ (20%) จีน (12.5%) และ ญี่ปุ่น (7%) จะเห็นว่าทั้ง 3 ประเทศข้างต้นรวมกันแล้วกว่า 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย
ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวก็แทบไม่มีผลมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวหลักของไทยมาจากประเทศมาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย และ เกาหลีใต้ เป็นหลัก
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีผลกับบางบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ในกัมพูชา อาทิ CBG ที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชา 15% รวมไปถึง SAV ที่ทำธุรกิจในกัมพูชา (วิทยุการบิน) เป็นต้น