DBS ชี้ทรัมป์จุดชนวนเศรษฐกิจโลก แนะปรับพอร์ตลงทุนทองคำ-หุ้นยุโรป

17 ก.ค. 2568 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2568 | 08:35 น.

DBS ชี้ท่ามกลางพายุความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์ และปัญหาการคลังของสหรัฐฯ DBS ชี้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลก กางกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 แนะกระจายลงทุนทองคำ-หุ้นยุโรป-สินทรัพย์ทางเลือก

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) หรือ DBS ประเมินภาพรวมครึ่งหลังปี 68 โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยน โดยมองนโยบายของทรัมป์ จุดชนวนสงครามภาษีในระดับโลก รวมทั้งความไม่ชัดเจนด้านนโยบายได้สร้างความเสี่ยงในสินทรัพย์การเงินทั่วโลก

พร้อมแนะลดน้ำหนักตลาดพันธบัตรรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้ว เพิ่มน้ำหนักทองคำ และสินทรัพย์ทางเลือกนอกตลาด รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักหุ้นยุโรป มองธุรกิจหุ่นยนต์มนุษย์ ระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอวกาศเป็นเทรนด์ระเบียบโลกใหม่ 

นายเอ็ดวิน ตัน (Mr. Edwin Tan) Market Head DBS, Thailand & Philippines, DBS Bank เปิดเผยว่า ก้าวเข้าสู่ครึ่งปีหลังของปี 68 เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกสามารถฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสภาวะที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี, สัญญาณเศรษฐกิจที่สับสนจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดีทรัมป์, และความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาทางการคลังของสหรัฐฯ 

"เมื่อมองย้อนกลับไป DBS ภูมิใจที่กลยุทธ์การลงทุน ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง Barbell Strategy ยังคงติดหนึ่งใน 5% แรกของกองทุนผสมทั่วโลกนับตั้งแต่จัดตั้ง ขณะเดียวกัน การที่เรา “Overweight” ทองคำตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงกลยุทธ์ Liquid+ ที่เน้นตราสารหนี้เกรดลงทุนระยะสั้น ก็กลายเป็นเสาหลักในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน"

เอ็ดวิน ตัน (Mr. Edwin Tan) Market Head DBS, Thailand & Philippines, DBS Bank

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ DBS มีกำไรก่อนหักภาษีรวมทั้งสิ้น 3.44 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่รายได้รวมแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 5.91 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ROE อยู่ที่ 17.3% แม้จะรวมผลกระทบจากภาษีขั้นต่ำระดับโลกเข้ามาคำนวณแล้วก็ตาม 

ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Wealth Management เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 724 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการลงทุนของลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้านผลิตภัณฑ์การลงทุนและแบงก์แอสชัวรันส์ 

นายเวย์ ฟุก โหว (Mr. Wey Fook Hou) Chief Investment Office, DBS Bank กล่าวว่า นโยบายในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก ตั้งแต่การลดงบประมาณของกระทรวงพลังงาน (DOGE) อย่างรุนแรง ไปจนถึงการจุดชนวนสงครามภาษีในระดับโลก

แม้แนวทางดังกล่าวจะช่วยวางตำแหน่งใหม่ให้กับสหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศ แต่ความไม่ชัดเจนด้านนโยบายยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดัน risk premium ของสินทรัพย์การเงินสหรัฐฯ ให้เพิ่มสูงขึ้นการผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ล่าสุด ยิ่งทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องความยั่งยืนทางการคลังอย่างมีนัยสำคัญ 

โดยข้อมูลจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่าขาดดุลงบประมาณจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 118% ของ GDP ภายในปี 78 (2035) การที่ Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงสู่ระดับ Aa1

จึงถือเป็นสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ว่าสหรัฐฯ กำลังสูญเสียสถานะ “ปลอดความเสี่ยง” ของพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีที่ทะลุ 5% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการคลังที่กำลังลดลง 

เวย์ ฟุก โหว (Mr. Wey Fook Hou) Chief Investment Office, DBS Bank

มองว่า "Beautiful Tariff War" ของทรัมป์มีเป้าหมายสองประการ ได้แก่ การควบคุมอิทธิพลของจีนในเชิงยุทธศาสตร์ และการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติมเพื่อลดปัญหาความเสี่ยงล้มละลายของสหรัฐฯ แม้จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบเหมารวมในอัตรา 20% รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้นหลังปรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่เพียง 185.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังไม่เพียงพอแม้แต่จะครอบคลุมดอกเบี้ยจากหนี้ภาครัฐ ข้อจำกัดทางการคลังเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ DBS ปรับกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญ ดังนี้

คงน้ำหนัก Neutral ในตลาดหุ้น โดยคาดว่าผลตอบแทนจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มบริการมีแนวโน้มเติบโตดีกว่ากลุ่มที่เน้นสินค้า

ปรับลดน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลในตลาดพัฒนาแล้ว (DM) สู่ระดับ “Neutral” จากความกังวลด้านการคลังและเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง พร้อมทั้งใช้กลยุทธ์ “บาร์เบล” สำหรับตราสารหนี้

ให้น้ำหนัก “Overweight” ต่อสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะทองคำ (คาดการณ์เป้าหมายที่ 3,765 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในไตรมาส 4/68) และสินทรัพย์นอกตลาดที่สามารถสร้างรายได้ประจำ 

3 ธีมลงทุนไตรมาส 3

โดยมองว่า 3 ธีมหลักที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางในไตรมาส 3/68 ที่ครอบคลุมแนวโน้มการลงทุน ได้แก่

  1. การคลี่คลายความตึงเครียดทางภาษีอย่างเป็นรูปธรรม
  2. ผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่เริ่มแตกต่างกันชัดเจนระหว่างภูมิภาค และกลุ่มอุตสาหกรรม 
  3. ความเสี่ยงทางการคลังที่กดดันพันธบัตรรัฐบาลและค่าเงินดอลลาร์ แต่กลับเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

การที่สหรัฐฯ และจีนเร่งลดระดับความตึงเครียดทางการค้าอย่างกะทันหันสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด โดยมีแรงผลักดันจากเหตุผลเชิงปฏิบัติ เนื่องจากภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 145% เปรียบ เสมือนมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าที่ส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย

ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาระการรีไฟแนนซ์ หนี้ภาครัฐกว่า 7.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ประกอบกับกระแสนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เริ่มลดลงในประเทศ ส่งผลให้ทรัมป์หันมารับนโยบายก้าวหน้าในบางด้าน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้พรรครีพับลิกันในฐานะพรรคของชนชั้นแรงงาน ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 69 

“โดยสรุปแล้ว ความไม่ชัดเจนด้านนโยบาย และการใช้จ่ายภาครัฐอย่างไร้ขีดจำกัดของสหรัฐฯ กำลังเพิ่มระดับความเสี่ยงในสินทรัพย์การเงินทั่วโลก แม้การคลี่คลายความตึงเครียดทางภาษี จะมีแนวโน้มขับเคลื่อนด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ แต่นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับผลตอบแทนที่แตกต่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำและสินทรัพย์นอกตลาดที่สามารถสร้างรายได้ประจำ เพื่อเสริมความแข็งแรงของพอร์ตในยุคที่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่าน จากการพึ่งพาสินทรัพย์การเงินของสหรัฐฯ”

สรุปการลงทุน

หุ้น : DBS ยังคงมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ จากแนวโน้มการเติบโตของ AI ที่ยังคงต่อเนื่อง ในระยะ 3 เดือนข้างหน้า เราแนะนําให้น้ำหนัก Overweight ในหุ้นยุโรปและเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) จากแรงสนับสนุนของนโยบายการคลัง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จูงใจ และมูลค่าที่ซื้อขายด้วยส่วนลดเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว 

เครดิต : ความเสี่ยงจากภาวะ stagflation และความผันผวนของอัตราผลตอบแทนระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น Ffpให้น้ำหนักกับตราสารระดับ A/BBB และคงกลยุทธ์ “Duration Barbell” โดยเน้นช่วงอายุ 2 - 3 ปี และ 7 - 10 ปี นอกจากนี้ เรายังชื่นชอบพันธบัตรป้องกันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (TIPS), ตราสารทุนกึ่งหนี้ และตราสารหนี้คุณภาพดีที่มีอายุสั้น 

อัตราดอกเบี้ย : นักลงทุนที่จับตาความเสี่ยงด้านการคลัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ท่ามกลางปัญหาการคลังที่รุนแรงขึ้น ขณะที่นักลงทุนมีแนวโน้มกระจายพอร์ตออกจากสินทรัพย์ดอลลาร์มากขึ้น กระแสเงินทุนเริ่มไหลเข้าสู่พันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นในเอเชีย 

สกุลเงิน : ทิศทางการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มต่อเนื่องจากความไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายที่ขัดแย้งของรัฐบาลทรัมป์ โดยสกุลเงินปลอดภัยทางเลือกอื่นๆ จะเป็นผู้รับประโยชน์หลักในช่วงนี้

สินทรัพย์ทางเลือก : ทองคำยังคงมีแนวโน้มที่ดีจากแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก พร้อมทั้ง แนะนำเพิ่มน้ำหนักในกองทุนเฮดจ์ฟันด์, ตลาดรองของ Private Equity, ตราสารหนี้นอกตลาด และโครงสร้างพื้นฐานภาคเอกชน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น  

Thematic focus : ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) DBS มองว่าธุรกิจหุ่นยนต์มนุษย์ (humanoids), ระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรม (industrial automation) และกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอวกาศ (defence & aerospace) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลักในโลกยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การพึ่งพาตนเองและการปรับฐานการผลิตกลับสู่ภูมิลำเนา (reshoring)