สหรัฐฯ งัดภาษีโหด! ไทยโดนชาร์จ 36% หุ้นส่งออก-นิคมฯ สะเทือน SET เสี่ยงรูด 1,080 จุด

09 ก.ค. 2568 | 01:00 น.

โบรกวิเคราะห์ผลกระทบภาษีการค้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย หุ้นส่งออก-นิคมฯ เสี่ยงถดถอย หุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานถึง 1,080 จุด นักลงทุนควรถือเงินสด 50% และเน้นหุ้นปลอดภัย-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ทางสหรัฐฯ ส่งหนังสือถึงประเทศต่างๆ แจ้งเรื่องอัตราการเก็บภาษีการค้า (Tariffs) ให้กับนานาประเทศๆ

ทั้งนี้ อัตราการเก็บภาษีในระดับ 25 - 40% นั้น ทางฝ่ายเชื่อว่าอัตราภาษีดีงกล่าวไม่ใชอัตราสุดท้าย แต่เป็นการกดดันประเทศต่างๆ ให้ยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้น รวมถึงเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ในระยะสั้นมีโอกาสเป็นลบ เพราะเท่ากับระดับภาษีที่ 20% ของเวียดนาม (ที่เปิดให้สินค้าเข้าสหรัฐฯ 100% ด้วยภาษี 0%) จะกลายเป็นฐาน (Floor) ที่เป็นไปได้ของประเทศส่วนใหญ่

ขณะที่อัตราภาษีที่ 36% ที่ไทยได้รับเป็นลบ เพราะสูงกว่าเพื่อร่วมภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม (20%), มาเลเซีย (25%), อินโดนีเซีย (32%) คาดส่งผลต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้

  1. นิคมอุตสาหกรรม ภาษีการค้าที่สูงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน และมีความเสี่ยงในการที่ลูกค้าจะย้ายฐานการผลิต
  2. กลุ่มที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง (โดยเฉพาะอาหารทะเล อาหารสัตว์เลี้ยง) อย่าง TU (30%) และ ITC (50%) จะเผชิญแรงกดดันเชิงต้นทุน และจะเจอการต่อราคาจากคู่ค้า กดดันต่ออัตรากำไร
  3. กลุ่มอาหาร (ผู้ผลิตเนื้อสัตว์) สหรัฐฯ น่าจะใช้โอกาสนี้กดดันให้ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งจะกระทบต่อ ผู้ผลิตเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อหมูอย่าง CPF และ BTG

สำหรับธนาคารพาณิชย์ ตัวเลขภาษีการค้าที่สูงกว่าคาดการณ์ของ BOT ที่ 18% มีแนวโน้มทำให้ประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) มีความเสี่ยงทางลบ ซึ่งอาจกดดันต่อสินเชื่อของธนาคาร

จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลให้ภาพรวมกลยุทธ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ยังมีแนวโน้มผันผวนในช่วง 2 - 3 สัปดาห์หน้า จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่อง “อัตราภาษีการค้าสุดท้าย” กับรายละเอียดข้อตกลง หรือสินค้าที่ไทยต้องเปิดตลาดเพิ่ม

ประเมิน downside ของ SET Index ไว้ที่ระดับ 1,080 จุด นักลงทุนมีแนวโน้มกังวลความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาพการลงทุนอาจกลับมากลุ่มหุ้นปลอดภัย (สื่อสาร โรงไฟฟ้าใหญ่) ทางฝ่ายยังชอบค้าปลีก และท่องเที่ยว ที่ valuation ลดลงมากจนเกินไป

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของเดือน ก.ค.68 นั้น ทางฝ่ายประเมินกรอบแนวรับ ไว้ที่ระดับ 1,108 จุด และกรอบแนวต้านที่ระดับ 1,130 จุด โดยคำแนะนำการลงทุนให้รักษาสัดส่วนลงทุน แบ่งเป็นเงินสด 50% และ พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำในทางกลยุทธ์

สำหรับหุ้นแนะนำในทางกลยุทธ์ของทางฝ่าย (นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ) ประกอบด้วย

  • BAM (ราคาเป้าหมาย 8 บาท) : ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ NPL รายใหญ่ 2,800 ล้านบาท (2.02% ของสินทรัพย์) ราคาปัจจุบันซื้อขาย 0.53 เท่า PBV ตัดขาดทุน 6.75 บาท
  • M (ราคาเป้าหมาย 20 บาท) : ผลการเปิดบุฟเฟต์อาจกระทบต่ออัตรากำไร แต่มีแนวโน้มบวกต่อกำไรสุทธิจาก utilization ที่สูงขึ้น ตัดขาดทุน 16.50 บาท
  • SCGP (ราคาเป้าหมาย 22 บาท) : คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในครึ่งปีหลังจากผลการดำเนินงานในต่างประเทศที่จะเริ่มพลิกเป็นมีกำไร ตัดขาดทุน 16 บาท
  • CPAXT (ราคาเป้าหมาย 24 บาท) : ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) สินค้าจำเป็น โดยเฉพาะอาหาร (MAKRO +0.5% / Lotus -0.3%) แข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรม (-4.5%) ตัดขาดทุน 17.50 บาท

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายมองว่าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจไม่ได้สำเร็จได้ตั้งแต่รอบ 1 หรือ 2 รอบแรกอยู่แล้ว เมื่อมองจากการเจรจาของเวียดนาม ซึ่งใช้การต่อรองถึง 4 ครั้ง กว่าที่จะถูกปรับลดภาษีลงมาเหลือ 20%

จากนี้ไปอาจต้องจับตารอดูว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ รัฐบาลจะยื่นข้อเสนอทางการค้าได้ถูกใจสหรัฐฯ มากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากว่าต่ำกว่าระดับ 20% ก็จะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาบวก และส่งอานิสงส์ต่อหุ้นกลุ่มส่งออกและนิคมอุตสาหกรรมร่วมด้วย

"ต้องยอมรับว่าการส่งของสินค้าของไทยและเวียดนามค่อนข้างคลายคลึงกัน หากว่าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงกว่า ก็อาจทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันลง ความน่าสนใจในการลงทุนของต่างประเทศก็จะลดลงตามไปด้วย"