ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายในการสร้างองค์ความรู้และระบบนิเวศเรื่องธุรกิจครอบครัว (Family Business) เพื่อผลักดันให้ธุรกิจครอบครัวที่ดีที่อยู่นอกตลาด ได้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มากยิ่งขึ้น
ประเทศไทยในปัจจุบันมีธุรกิจครอบครัวอยู่จำนวนมาก โดยข้อมูลจากการเก็บสถิติพบว่า ธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย ถ้านับรวมร้านโชห่วยด้วยแล้วก็จะมีอยู่กว่า 1.7 ล้านราย แต่หากนับเพียงบริษัทที่มีการจัดตั้งอย่างถูกต้องรวมๆ จะเหลืออยู่ที่ 2 - 3 แสนรายเท่านั้น
"Family Business มีความน่าสนใจอย่างมาก หากเราสามารถช่วยพัฒนาศักยภาพธุรกิจเหล่านี้และดึงเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เอาง่ายๆ คิดเพียงแค่ 1 - 10% ของบริษัท 3 แสนรายที่มีการจัดตั้งอย่างถูกต้อง ก็มีนับได้ว่ามีความสำคัญต่อตลาดหุ้นได้มากขึ้นแล้ว สร้างสีสัน และเป็นทางเลือกการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น"
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 852 หลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 67% หรือราว 575 หลักทรัพย์ เติบโตมาจากการเป็นธุรกิจครอบครัว ตอนนี้โจทย์ใหญ่คือจะทำอย่างไรให้ธุรกิจครอบครัวที่มีศักยภาพเหล่านี้เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ข้อดีของการเข้ามาสู่ตลาดทุนของธุรกิจครอบครัว คือ ช่วยให้การสืบทอดกิจการเป็นไปอย่างยั่งยืนขึ้น รับษาบุคลากรที่มีความสามารถ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น สามารถปรับตัวและแข่งขันได้ พัฒนามาสู่ด้าน ESG โดยเฉพาะเรื่องธรรมาภิบาลที่ดี ตลอดจนลดความขัดแย้งภายในครอบครัวได้ เพราะมีโครงสร้างที่ดีและเหมาะสม
โดยในช่วงที่ผ่านมาสิ่งที่ตลาดหลักทรัพยฯ พยายามทำเพิ่มอยู่คือ การรือกับภาครัฐในการหาสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอื่นๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวให้เพิ่มมากขึ้น อาทิ การพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ที่เร็วขึ้น
รวมถึงการพิจารณาเรื่องโครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual Class Shares) ที่เป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงต่างกัน เพื่อตอบสนองความกังวลเรื่องการสูญเสียอำนาจควบคุมของธุรกิจครอบครัว โดยอนุญาตให้ขายหุ้นบางส่วนออกไป แต่ยังคงควบคุมบริษัทได้ ผ่านหุ้นบุริมสิทธิออกเสียงมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในกระบวนการแก้ไขกฎหมายด้วย
พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังปูแนวทางการสร้างระบบนิเวศของธุรกิจครอบครัวตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ก่อน สร้างความรู้ความเข้าใจ เป็นที่ปรึกษาให้ หรือแม้กระทั่งนำกลุ่ม Venture Capital ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีความสนใจลงทุนในธุรกิจครอบครัว, Start-up และ SMEs เข้ามาร่วมส่งเสริม
"มองว่าการมาของ Venture Capital จะเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์เติมเต็มธุรกิจครอบครัว ตั้งแต่ธุรกิจดีแต่ไม่มีเงินทุน หรือธุรกิจดีแต่ทายาทรุ่นต่อไปไม่ต้องการบริหารหรือสานต่อธุรกิจแล้ว ซึ่ง Venture Capital ก็จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ Merger and partnership (M&P) จุดนี้ได้ ธุรกิจครอบครัวไทยดีๆ มีอยู่มาก เพียงแต่ยังไม่ถูกเจียระไน"
ประกอบกับยังมีแนวทางขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน สถาบันการศึกษาและวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจครอบครัว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจครอบครัว ให้เติบโตและยั่งยืนขึ้นได้
นอกเหนือจากนี้ จากดึงดูดความสนใจให้ธุรกิจครอบครัวเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น คือ การแก้ไขปัญหาเรื่องบัญชีที่ 2 และ 3 ของธุรกิจ ให้รวมมาเป็นบัญชีเดียว แล้วเข้าระบบการเสียภาษีอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายก็อยากที่จะส่งเสริม 300 บริษัทของไทยเข้ามาอบรมตลาดทุน
"มองว่าธุรกิจไทยมีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หากได้รับการเทรนที่ดี ธุรกิจครอบครัวที่มีอนาคตก็มีอยู่มาก แต่ในแต่ละปีล้มหายตายจากไปก็ไม่น้อยเพราะไม่มีการวางแผนโครงสร้างที่ดี ทั้งการเลือกผู้นำ การเสียภาษี การทำบัญชี ตลาดฯ ต้องการเป็นตัวกลาง เป็นจุดผสานต่างๆ เพราะมองเห็นถึงต้นตอของปัญหา ช่วยแก้ไขและปรับให้ผู้ประกอบการธุรกิจที่เป็นของครอบครัวเหล่านี้สามารถยืนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ในแง่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันได้เปิดมีช่องทางการระดมทุนในรูปแบบใหม่อย่างตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) เป็นอีกหนึ่งกลไกให้ธุรกิจครอบครัว รวมไปถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) ขยายโอกาสสู่การเติบโตผ่านตลาดทุนได้
ขณะเดียวกันก็ยังได้พัฒนา LiVE Platform ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงหลักสูตรเฉพาะด้าน อาทิ การบริหารจัดการภายใน การปรับโครงสร้างธุรกิจ การวางแผนมรดก และการสร้างกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับเปลี่ยนชื่อกระดานเทรดใหม่ หรือมีความเป็นไปได้ทั้งการสร้างกระดาน “New Economy” ขึ้นมาเพิ่มเติม ซึ่งจากนี้ก็อาจต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาอีกระยะหนึ่งจึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
"เรายังไม่ตกผลึกว่าจะตั้งตลาดใหม่ หรือปรับปรุงตลาด LiVEx ที่ปัจจุบันยังไม่ Active มากนัก เพื่อตอบโจทย์ให้กลุ่มสตาร์ทอัพเข้ามาจดทะเบียนได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันมีแค่ 5 หลักทรัพย์ ซึ่งก็ต้องเข้าไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มองว่าบริษัทขนาดเล็กในไทยมีความสามารถเยอะ แต่ยังขาดโอกาส ถ้าทำได้ก็เหมือนช่วยเพิ่มความสามารถในการพัฒนาคนและความสามารถในการแข่งขันให้บริษัทไทยได้"