นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยว่า จากประเด็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ รวม 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท ที่กระจายลงทุนทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การท่องเที่ยว และลดผลกระทบภาคการส่งออก
มองว่าจะส่งผลดีต่อการกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงานที่มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยการขยายตัวของ GDP ไทยได้เพิ่มขึ้นอีกราว 0.4% รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับไทยได้มากขึ้นในอนาคตอีกด้วย
"ตลาดหุ้นไทยต้องการรับข่าวดีเข้ามาช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศมากในระยะนี้ ความชัดเจนของการลงทุนภาครัฐจะหนุนความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับมามากขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเกลี่ยงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ทำให้คาดหวังว่าการอัดฉีดเม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาท จะหนุนเศรษฐกิจได้บ้าง"
ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศจะกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง โดยหุ้น 3 กลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มส่งออก เป็นต้น
โดยกลุ่มท่องเที่ยว ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ CENTEL เนื่องจากพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง มีการตั้งโรงแรมกระจายยังจุดท่องเที่ยวสำคัญทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด อีกทั้งพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 ออกมาดี การเปิดโรงแรมหลังปิดปรับปรุง ได้แก่ พัทยาและภูเก็ต ในปี 68 ถูกปรับราคาห้องพักเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่ากำไรปีนี้จะมีการเติบโตที่ดี
ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ทางฝ่ายมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ CK เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี ผลการดำเนินงานทั้งตัว CK เองและบริษัทลูกในไตรมาส 1/68 ออกมาไม่ได้แย่ อีกทั้งราคาหุ้นในปัจจุบันอยุ่ในระดับที่ถูกมากแล้ว เพียงแต่กลยุทธ์การลงทุนอาจเน้นที่การเก็งกำไร
ส่วนกลุ่มส่งออกนั้น มีมุมมองที่เป็นบวกต่อ CCET คาดแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับแรงหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากโรงงานที่เพชรบุรี และโรงงานที่บราซิล ซึ่งจะหนุนให้กำไรและมาร์จิ้น ในช่วงครึ่งหลังปี 68 และ 2571 ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการรายงานยอดขายรายเดือนยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเดือนพ.ค. ที่ระดับ 385 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.6% จากเดือนก่อน และขยายตัว 12.9% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจในประเทศมีการขยายตัวที่ดีขึ้น มองว่าจะหนุนการบริโภคให้มีการเติบโตที่ดีเช่นเดียวกัน โดยทางฝ่ายยังคงมองบวกต่อ CPALL ด้วยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ยังคงมีการขยายสาขาร้านสะดวกซื้ออย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในโซนที่ต่ำแล้ว P/E ต่ำเพียง 15 เท่า ถือว่าเป็นอีกหุ้นที่น่าสนใจ