นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากกรณีที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) จำนวน 3 ราย ซึ่งประกอบด้วย
1.บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต
2.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต
3.บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) WeTechnology Limited, KakaoBank Corp. และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต
โดยหลังจากนี้ผู้ได้รับความเห็นชอบจะต้องจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด รวมถึงผ่านการประเมินความพร้อมของ ธปท. ก่อนยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ และจะต้องเปิดดำเนินการภายใน 1 ปีนับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบจาก รมว. คลัง (1 ปีนับจากวันที่ 19 มิ.ย. 2568) อย่างไรก็ดี ธปท. อาจพิจารณาผ่อนผันได้อีกไม่เกิน 1 ปี นั้น
ในเบื้องต้นอาจยังไม่เห็นปัจจัยเชิงบวกที่สะท้อนในราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวในปัจจุบัน เนื่องจากมองว่าเป็นสตอรี่เดิม เพียงแค่มีความคืบหน้าในเรื่องของการคอนเฟิร์มรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้ง Virtual Bank
ส่วนตัวมองว่าการลงทุน Virtual Bank ต้องใช้ระยะเวลา ใช่ว่าเพียงการคอมเฟิร์มจาก ธปท. แล้วการดำเนินธุรกิจจะราบรื่น อย่างไรก็ตามปกติการลงทุนในระยะจะยังมีผลขาดทุน เปรียบเทียบได้จากกลุ่มประเทศที่มีการลงทุน Virtual Bank ไม่ว่าจะทั้ง จีน เกาหลี หรือแม้กระทั่งยุโรป
"การลงทุน Virtual Bank ต้องใช้ระยะเวลากว่าที่ธุรกิจจะลงตัวและถึงจุดคุ้มทุน Impack เชิงบวกยังไม่เปิดขึ้นโดยเร็วแน่นอน การส้รางกำไรไม่เร็วเท่ากับธุรกิจดั่งเดิมของ แบงก์เอง เช่นรายได้ดอกเบี้ย หรือจากการปล่อนสินเชื่อ ดูได้จากประเทศที่มีการใช้ Virtual Bank ที่ผ่านมาอย่างจีน เกาหลีใต้ และยุโรป ซึ่งมีเพียงแค่จีนและเกาหลีเท่านั้นที่เริ่มห็นผลกำไรบ้างแล้ว ในขณะที่ยุโรปเปิดใช้มาหลายปี ปัจจุบันก็ยังคงขาดทุนอยู่"
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเด็น Virtual Bank คาดยังไม่เห็นผลกระทบในช่วง 3 ปีนี้ เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ แต่ผลบวกต่อกำไรอาจต้องรอให้ผ่านช่วง Phasing ไปก่อนถึงจะชัดเจนสำหรับช่วงเริ่มต้นนักลงทุนที่สนใจอาจพิจารณาเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจ Virtual Bank
โดยช่วงแรกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ ผู้ให้บริการที่ปรึกษางาน Digital ของกลุ่มธนาคารอย่าง BBIK (ราคาเป้าหมาย 39.75 บาท) ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลเสียคือ Non-Bank ที่จะถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาด ส่วนธนาคารช่วงสั้นอาจมีผลขาดทุนเล็กน้อย
ส่วนหุ้น Top Pick กลุ่มธนาคารทางฝ่ายเลือก TTB (ราคาเป้าหมาย 2.12 บาท) เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทั้งจากสิทธิทางภาษี 1.2 หมื่นลบ. ที่ทยอยใช้สิทธิได้จนถึงปี 2028 และมาตรการซื้อหุ้นคืนในช่วง 3 ปีนี้ปีละ 7,000 ลบ. นอกจากนี้ยังคาดให้ Div. Yield อีก 7.1% จึงมองว่ามีความน่าสนใจสำหรับการถือลงทุนทุนในระยะยาว
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า จากประเด็นประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับใบอนุญาต หรือ "ไลเซนส์" นั้น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยอิงจากข่าวรอบก่อนที่เก็งว่ามี 3 กลุ่มที่จะได้คือ
ถ้าหากที่กล่าวข้างต้นเป็นจริง กลุ่มที่ได้ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดเพราะมีฐานลูกค้าที่กระจายไปยังรายย่อยได้เยอะ และมีกลุ่มธุรกิจการเงิน รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญในการทำ digital bank อยู่แล้ว ขณะที่หลังจากที่กระทรวงการคลังประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ใบอนุญาตวันแล้วจะมีการเปิดให้บริการได้ภายในเดือน มิ.ย. 26 สำหรับกลุ่มธนาคารให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็นมากกว่าตลาด และยังเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 25.00 บาท) เป็น Top pick
ขณะที่จะเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มที่จะได้รับงานทางด้าน IT เช่น BBIK (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท) โดยที่ผ่านมามีการพูดคุยงานเกี่ยวกับงาน Virtual Bank แต่ขนาดจะไม่ใหญ่มากระดับ 10 ล้านบาท ผ่านบริษัท JV (Orbit ที่เป็นการร่วมทุน BBIK กับ OR) แต่ยังมีโอกาสได้งานเพิ่มได้ในอนาคต
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ภายหลังจากประกาศผล กลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาต จะเปิดดำเนินการ Virtual Bank ช่วง มิ.ย. 69 ทำให้คาดผลที่เกิดขึ้นจากกรณีการตั้ง Virtual Bank ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 69 ของธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank จำกัด
โดยในช่วงแรก Virtual Bank มีโอกาสมีผลขาดทุน เป็นไปตามปกติของการเริ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งการถึงจุดคุ้มทุน (กรณีที่ไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ) ขึ้นอยู่กับความเร็วการขยายฐานสินเชื่อ เข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของ Virtual Bank ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงภาคธนาคารมาก่อน
และโมเดลในการพิจารณาสินเชื่อจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้ Credit risk ของพอร์ตสินเชื่อสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่ได้รับ (Loan spread) หากพิจารณาการจัดตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจด้านสินเชื่อใหม่ ของกลุ่มธนาคาร ในช่วงที่ผ่านมา อย่าง AUTOX (จำนำทะเบียนรถ) ของ SCB เริ่มธุรกิจช่วงไตรมาส 2/68 สามารถมีกำไรสุทธิได้ในปี 66 (ฐานสินเชื่อ ณ สิ้นปี 65 ที่ 7.5 พันล้านบาท และสิ้นปี 66 ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท บน Yield on loan ราว 19% -20%)
ทั้งนี้ ในเชิงของการประเมินผลกระทบต่อประมาณการปี 69 - 70 ยังต้องคำนึงถึงสัดส่วนการถือหุ้นใน Virtual Bank ของแต่ละบริษัทฯ (ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5 พันล้านบาท) ซึ่งมีผลต่อการรับรู้ผลการดำเนินงานใน Virtual Bank และวิธีการบันทึกบัญชี (ทำงบการเงินรวม หรือ Equity method)
แม้ฝ่ายวิจัยมองกลางต่อประเด็น Virtual Bank แต่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มฯ อาจมีแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าของงบประมาณปี 69 ส่งผลต่อเนื่องความต้องการใช้สินเชื่อ (KTB มีสัดส่วนสินเชื่อรัฐบาล ราว 20% ของพอร์ตสินเชื่อ)
และการตั้งสำรองได้ เป็นไปตาม Downside risk ของ GDP ทั้งนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มฯ ยังมีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวระยะถัดไป จากการเข้าสู่ช่วงจ่ายปันผลระหว่างกาล อาทิ BBL, KBANK, TISCO, TTB และ SCB เป็นต้น
บล.บัวหลวง ระบุว่า ประเด็น Virtual bank ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดธนาคารที่ได้ใบอนุญาต Virtual bank จะรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจ Virtual bank เข้ามาบ้างในเริ่มต้นของการประกอบธุรกิจ เพราะต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่ก็เป็นโอกาสในการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ ที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะกลางถึงยาว
ในขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ให้ความคิดเห็นว่า ทางฝ่ายมองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นผลบวกในเชิงจิตวิทยาต่อธนาคารที่เข้าร่วมทุนในการทํา Virtual Bank ได้แต่ KTB และ SCB ส่วนในเชิงพื้นฐานระยะสั้นนั้น มองว่าอาจได้รับผลบวกไม่มาก
"การให้บริการ Virtual Bank มีเป้าประสงค์ที่จะเน้นให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย และ SMEs ที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ (unserved) เช่น กลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ หรือกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้รับบริการที่ดีเพียงพอ (underserved) ให้มีโอกาสเข้าถึงหรือได้รับบริการทางเงินที่ดีขึ้น"
ทางฝ่ายมองว่าในช่วงเริ่มต้นการให้บริการ Virtual Bank จะเน้นไปในด้านเงินฝาก การโอนเงิน และการชําระเงิน ซึ่งยังไม่แตกต่างจากการให้บริการ Internet Banking ของธนาคารในระบบปัจจุบันมากนัก แต่เนื่องจากมีความจําเป็นต้องแต่งตั้งตัวแทนรับฝาก/ถอนเงิน หรือให้บริการผ่านเครือข่าย ATM ที่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นธนาคารที่ร่วมทุน ทําให้ธนาคารดังกล่าวอาจได้รับรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็น Channel ของการให้บริการ
ส่วนการปล่อยสินเชื่อของ Virtual Bank แต่ละราย ซึ่งจะเป็นรายได้และกําไรหลักในอนาคตนั้น เนื่องจากสินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกันในประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะการแข่งขันที่ลูกหนี้ชั้นดี อาทิ SME หรือ พนักงานบริษัทที่มีเอกสารทางการเงิน และมีประวัติการชําระสินเชื่อ ทั้งในธนาคารเอง และเครดิตบูโร
ส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่ม unserved และ underserved แล้ว ทําให้มองว่าการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่ม unserved และ underserved ต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก จําเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาเกณฑ์การให้สินเชื่อ (Underwriting Criteria) ค่อนข้างนาน ทําให้มองว่าเป็นโอกาสสําหรับ KTB และ SCB ในระยะยาวที่ต้องติดตาม มากกว่าที่จะเห็นผลบวกต่องบการเงินในระยะสั้นอย่างมีนัยสําคัญ