การเมืองไทยร้อนแรง เสี่ยงดัชนีหลุด 1,000 จุด ฉุดต่างชาติเทขายต่อ

20 มิ.ย. 2568 | 00:30 น.

วิกฤติคลิปเสียงลามถึงตลาดทุน! หุ้นไทยส่อดิ่งหลุด 1,000 จุด นักลงทุนหวั่นยุบสภา-งบประมาณรัฐเข้าสูญญากาศ ไม่วัดใจใส่เงินไปต่อ ขณะทุนต่างชาติฉายแววทิ้งหุ้นไทยเพิ่ม

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า มองว่าประเด็นทางการเมืองยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.  68 นี้

หลังจากที่คลิปเสียงการเจรจาระหว่าง นายกฯ และ ฮุนเซน ถูกปล่อยออกมา ส่งผลให้เกิดปฎิกริยาที่ค่อนข้างรุนแรงในสังคมและการเมือง เกิดความเสี่ยงที่พรรคร่วมจะถอนตัวออก หากว่ามีการถอนตัวออกอย่างต่อเนื่องของพรรคร่วมอื่นๆ อาจส่งผลให้คะแนนเสียงของรัฐบาลไม่เพียงพอ กระทบต่ออำนาจในการบริหารทางการเมือง

ส่งผลให้ทางฝ่ายมองว่าประเด็นทางการเมืองไทยที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติและอาจนำไปสู่การยุบสภา จาก 2 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ การปรับคณะรัฐมนตรี โดยจะเรียกคืนตำแหน่ง รมว.มหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล

รวมถึงประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน โดยบทสนทนาแสดงถึงความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไทย การแทนตัวเองในฐานะหลานและแสดงความนับถือต่ออีกฝ่ายในฐานะลุง รวมถึงการรับปากจะดำเนินการตามที่สมเด็จฮุน เซนร้องขอ คลิปดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าการวางตัวไม่เหมาะสมต่อสถานะผู้นำประเทศ และมีเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา

ซึ่งจากการที่ทางฝ่ายประเมินฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ มี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. เปลี่ยนนายกฯ เป็น "อนุทิน ชาญวีรกูล" โดยเพื่อไทยและภูมิใจไทยยังคงร่วมรัฐบาล โอกาส 40%
  2. การยุบสภา โอกาส 30% โดยเฉพาะหากพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมใจกันถอนตัว
  3. เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ โอกาส 20% นายกฯ อาจพยายามบริหารต่อ แต่จะเผชิญแรงต้านและความเสี่ยงต่อการฟ้องร้องถอดถอน อีกทั้งการเปลี่ยนนายกฯ อาจไม่ได้รับเสียงรับรองจากรัฐสภา (ส.ส. + ส.ว.)
  4. สลับขั้ว (พรรคประชาชน + ภูมิใจไทย) โอกาส 10% พรรคประชาชนอาจเข้าร่วมรัฐบาลเฉพาะกิจ 6 - 12 เดือน เพื่อให้กลไกงบประมาณไม่สะดุด และเตรียมเลือกตั้งใหม่

ทั้งนี้ มองว่าฉากทัศน์ที่ 1, 3 และ 4 แม้สามารถแก้วิกฤติการเมืองระยะสั้นได้ แต่จะเจอข้อจำกัดในการผลักดันนโยบาย ส่วนฉากทัศน์ที่ 2 (ยุบสภา) จะทำให้รัฐบาลเข้าสู่สถานะรักษาการ เสี่ยงที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 จะล่าช้า ซึ่งกระทบต่อการเบิกจ่ายและเศรษฐกิจในช่วงที่โลกเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า

ภาพถัดไป คือ ความล่าช้าของพ.ร.บ.งบประมาณ หรือขาดมาตรการที่เหมาะสมที่จะบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีการค้า การเบิกจ่าบงบประมาณอาจถอยหลังกลับไปสู่สูญญากาศอีกครั้ง จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับลด GDP ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายภายนอกต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก

"ต้องยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองไทยในเวลานี้ค่อนข้างมีผลร้อนแรงทางสังคม นักลงทุนมองไม่เห้นภาพในอนาคตจึงไม่กล้าเสี่ยงใส่เงินลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้นอีก ตามปกติไตรมาส 2-3 เป็นโลวซีซันของงบบริษัทจดทะเบียนอยู่แล้ว ยิ่งมีประเด็นทางการเมืองยิ่งเหมือนทำให้ตลาดหุ้นไทยไร้เสน่ห์ ทำให้ระยะสั้นนี้มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีลงไปแตะระดับ 1,000 จุดได้"

เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน

บล. พาย ระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาบนโลกออนไลน์มีการกล่าวถึงกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับคลิปเสียง และหลังจากนั้นในช่วงค่ำพรรคภูมิใจไทยก็ได้ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งรัฐมนตรีของภูมิใจไทยก็ได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี

สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นถือเสียง ส.ส. ราว 69 เสียง ทำให้ฝั่งรัฐบาลจะเหลือ ส.ส. ในทีมเพียง 249 เสียง (ตัวเลขประมาณการ) ทำให้การดำเนินนโยบายต่างๆ อาจเริ่มกระทำได้ยากมากขึ้นและหากจะพลักดันโครงการใหญ่ๆ อย่าง Entertainment Complex ก็อาจเป็นไปได้ยาก

จากนี้ทางเลือกของรัฐบาลสามารถแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ แต่ให้จับตาพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือจะตัดสินใจถอนตัวตามภูมิใจไทยหรือไม่ หากถอนตัวตามจะยิ่งทำให้เสียงรัฐบาลหรือเสถียรภาพสั่นคลอนมากขึ้น หรือรัฐบาลอาจตัดสินใจยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจะเผชิญกับแรงกดดันเชิงลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกประจำเดือน พ.ค. ที่ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1 ล้านล้านบาท) ขยายตัว 18% นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน (นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 65) และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11

หากไม่รวมสินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยจะขยายตัวได้ 20% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ Digital ทำให้ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า โดยการส่งออกไทยเดือนล่าสุดขยายตัวได้ดีเป็นอันดับ 2 ในฝั่งอาเซียนเป็นรองเพียงไต้หวัน สินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่สด เพิ่มขึ้น 9.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน)

อาหารทะเลกระป๋อง ขยายตัว 10% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน), ผลไม้กระป๋อง เติบโต 25% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน, เครื่องคอมพิวเตอร์ เพิ่มขึ้น 104% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน รถยนต์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ เติบโต 15% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน)

อย่างไรก็ตาม ด้วยมีปัจจัยทางการเมืองในประเทศเป็น Downside ทำให้ทางฝ่ายประเมิน SET INDEX แกว่งในกรอบ 1,070 - 1,100 จุด ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุน เพราะยังเผชิญหน้ากับอีกหลายความเสี่ยง

แต่อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายแนะนำนักลงทุนระยะสั้น อาจเลือก Trading ในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ อาทิ ส่งออก เช่น TU และ ITC, หุ้นที่อิงรายได้ต่างประเทศ เช่น MINT และกลุ่มหุ้น Defensive ซึ่งทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ BDMS เป็นต้น

ปัญหารุมเร้าตลาดหุ้นไทย

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยถูกกระทบมาจากข่าวการเมืองประเด็นคลิปเสียง และประเด็นพรรคภูมิใจไทยถอนตัว อาจเป็นช่วงสั้นๆ ที่ตลาดจะตอบรับข่าวลบ โดยการเมืองไทยกลับมากลายเป็นตัวแปรที่มีน้ำหนักต่อตลาดมากที่สุดมาตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 68 หลังมีการเผยคลิป นายกฯ คุย ฮุนเซน

และตามด้วยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ประเด็นการเมืองเป็นหนึ่งในสามตัวแปร ที่ถ่วงตลาดไทยโดยตรงในเวลานี้ แม้จะมีการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ราคาลงมาลึกๆ สวนทางตลาด แต่คาดว่าแรงซื้อ (เก็งกำไร) เหล่านี้น่าจะแผ่วลง หากรัฐบาลปล่อยให้พรรคภูมิใจไทย หลุดไปจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ในขณะเดียวกันความขัดแย้งแนวชายแดนกัมพูชาและไทย ปัจจุบันก็ยังคงมีความตึงเครียดต่อ และยังไม่สามารถหาข้อยุติลงได้ แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายไทย-กัมพูชา กลับมาคุยกันได้ จะเป็นข่าวดีของหุ้นหลายตัว โดยเฉพาะ CBG, SAV และ TOA เป็นต้น

ด้านการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะงบกระตุ้นล็อตแรก 1.15 แสนล้านบาท โดย 70% เป็นโครงการที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำ และการคมนาคม รองลงมา 10% เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นในตลาดอาจได้ประโยชน์ไม่มาก และยังต้องรอกว่าจะได้ใช้งบประมาณก้อนนี้อีกพักใหญ่ๆ