ศาลสหรัฐฯ เบรกภาษีทรัมป์ หนุนหุ้นส่งออกไทยคึกช่วงสั้น กูรูชี้ศก.ไทยยังเปราะบาง

30 พ.ค. 2568 | 00:30 น.

ศาลสหรัฐฯ เบรกภาษีทรัมป์ ตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนระยะสั้น ฝั่งโบรกชี้เศรษฐกิจยังต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง

จากกรณีที่ทางศาลการค้าระหว่าประเทศของสหรัฐฯ สั่งระงับการขึ้นภาษีพื้นฐานและภาษีตอบโต้ของทรัมป์ในอัตรา 10% และภาษีเฟนทานิลจากจีน แคนาดา เม็กซิโก โดยระบุว่าเป็นการใช้อำนาจเกินของเขต ขัดต่อข้อกฎหมาย แต่ไม่ครอบคลุม ภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ (ภายใต้ Section 232 และ Section 301 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้)

โดยทางกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ก็ได้มีการยื่นหนังสืออุทธรณ์ อ้างเหตุผลการขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า คดีนี้อาจไปถึงศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายนั้น

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า คาดจะเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้นต่อตลาดหุ้น เพราะยังเชื่อว่าทรัมป์จะพยามหาทางตอบโต้ หรือหากภาษีนำเข้าเหลือเพียง 0 - 10% ส่วนตัวมองว่าก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่ง

เนื่องจากประเทศมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนระดับสูง การบริโภคขยายตัวต่ำ กระทบการลงทุนภาคเอกชน (อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรม) แม้จะมีความหวังการลงทุนภาครัฐ แต่ภาครัฐนั้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนเทียบ GDP ก็เพียง 10 - 15% และที่ผ่านมาหากไม่มีภาษีจากทรัมป์เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวเฉลี่ย 2 - 3%

การเว้นภาษีของสหรัฐฯ จึงเป็นเพียงตัวจำกัด Downside มากกว่าจะเพิ่ม Upside แต่กับตลาดหุ้นต่างประเทศอาจได้ประโยชน์มากกว่าขึ้นอยู่กับว่าประเทศใดพึ่งพิงสหรัฐฯ สูง ซึ่งอาจเป็นจีน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง

สำหรับหุ้นไทยกลุ่มส่งออกนั้น มองว่าปัจจัยดังกล่าวจะได้ปแรงกระตุ้นเชิงบวกในระยะสั้นๆ โดยมองหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ เช่น ผู้ส่งออกอาหาร ITC TU และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ AMATA และ WHA เป็นต้น

ด้าน นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า หลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ตัดสินคำสั่งเพิ่มภาษีศุลกากรของ ปธน.ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผลลัพธ์สุดท้าย (final outcome) ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก

ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร ทรัมป์ก็ยังมีทางเลือกอื่นในการใช้มาตรการภาษีเพื่อกดดันคู่ค้า โดยมี “เครื่องมือภาษี” ทางกฎหมายที่สามารถนำมาใช้ได้อีกหลายมาตรา ดังนี้

1) Section 122 ของ Trade Act of 1974 – Global Tariff ชั่วคราว

  • ให้อำนาจประธานาธิบดีสามารถกำหนดภาษีแบบทั่วโลก 10% ได้
  • ใช้ได้ ชั่วคราว 150 วัน
  • หลังจากนั้น ต้องให้สภาคองเกรสลงมติ เพื่อขยายระยะเวลา

2) Section 301 – ภาษีตอบโต้แบบมีเงื่อนไข

  • ใช้สำหรับ “การตอบโต้” กรณีที่ประเทศอื่นมีนโยบายทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
  • เหมือนที่เคยใช้กับจีนในสงครามการค้ารอบก่อน
  • ต้องมี กระบวนการสอบสวนก่อน (investigation) ซึ่งต้องใช้เวลา

3) Section 232 – ด้านความมั่นคงแห่งชาติ

  • อนุญาตให้เก็บภาษีจากสินค้าที่อาจกระทบต่อ “ความมั่นคงแห่งชาติ”
  • ที่เคยใช้แล้ว: เหล็ก, อะลูมิเนียม
  • มาตรานี้ คาดว่าจะถูกใช้เพิ่ม ตามที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ เช่น ยา (Pharma), ชิปเซมิคอนดักเตอร์ / อิเล็กทรอนิกส์

4) Section 338 – ภาษีตอบโต้แบบไม่ต้องสอบสวน

  • อนุญาตให้สหรัฐฯ เก็บภาษีจากประเทศที่มีนโยบาย “เลือกปฏิบัติ” ต่อสหรัฐฯ
  • ไม่จำเป็นต้องสอบสวนก่อน
  • มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วในการใช้งาน