NER ชี้ดีมานด์จีนยังล้น ลุยส่งออกอินเดีย พร้อมคาดราคายางครึ่งปีหลังยืน 55 บ.

27 พ.ค. 2568 | 00:00 น.

"ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์" หัวเรือใหญ NER เผยครึ่งหลังปีราคายางทรงตัว 55 บาท/กก. มองสงครามการค้ากดดันราคายังผันผวน ชี้ความต้องการใช้ยางยังมีอยู่มาก กางแผนกระจายความเสี่ยงลุยส่งออกอินเดียอัพสัดส่วน 20%

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า สถาณการณ์ราคาซื้อน้ำยางสดในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 62 - 55 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งปรับตัวลดลงจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ยืนระดับ 82 - 74 บาทต่อกิโลกรัม

โดยทิศทางราคายางพาราไทยนับจากนี้มองว่าก็ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือลดลง แต่เบื้องต้นคาดการณ์ว่าราคาซื้อน้ำยางสดในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะทรงตัวยืนอยู่ที่ระดับ 55 บาทต่อกิโลกรัม และต้องยอมรับว่าการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในระดับที่สูงก่อนหน้านี้มีผลกระทบอยู่บ้างทั้งในแง่ราคาซื้อยางพาราและปริมาณส่งออก

แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ได้รับกระทบทางตรงจะเป็นคู่ค้าต่างประเทศมากกว่า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่เป็นกลางน้ำ และปลายน้ำ ในส่วนบริษัทที่เป็นต้นน้ำอาจได้รับผลกระทบในทางอ้อมมากกว่า ทั้งนี้ มองว่าความต้องการใช้งานยางพารายังคงมีอยู่ และบริษัทยังคงได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากคู่ค้าประเทศจีนเข้ามาตามปกติ

โดยยังเชื่อว่าการบริโภคยังคงมีอัตราการเติบโตได้แบบเรื่อยๆ แบบไม่ได้หวือหวา ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ทดแทนยางพาราในการผลิตล้อยางรถได้ ยางพาราจึงเป็นสินค้าจำเพาะ และตลาดส่งออกยางรายใหญ่ของโลกอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ก็ยังต้องพึ่งพาอยู่

"ต้องยอมรับว่าความกังวลการเก็บภาษีของสหรัฐฯ และจีน กดดันให้ราคายาง SICOM ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา และมองว่าราคายางยังคงมีความผันผวนอยู่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางตรงคือผู้ผลิตกลางน้ำและปลายน้ำ แต่เชื่อว่าความต้องการใช้ยางยังคงมีอยู่มาก เติบโตได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวา เราเองก็มองเห็นถึงปัญหาจึงได้มีการวางแผนขยายตลาดในประเทศใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพิงตลาดจีนลง ซึ่งผลตอบรับก็ค่อนข้างดี"

ลุยเปิดตลาดอินเดีย

ด้วยบริษัทมองเห็นสัญญาณความผันผวนโดยเฉพาะนโยบายด้านภาษีหลังจากที่ทรัมป์ได้กลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้มีการวางแผนเพื่อป้องกันและกระจายความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยบริษํทได้วางแผนในการขยายตลาดการส่งออกไปยังประเทศใหม่ๆ เพิ่มเติม

ในปัจจุบันบริษัทได้มีการส่งออกไปยังประเทศอินเดียเพิ่มเติม เพราะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรมาก มีการผลิตยานยนต์เพื่อใช้ในประเทศเอง และมีแนวโน้มความต้องการใช้ยางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี นับตั้งแต่ต้นปี 2568 บริษัทได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ยางพาราไปทดลองตลาดบ้างแล้ว ผลตอบรับค่อนข้างดี

โดยสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นประมาณ 5% ของยอดส่งออกยางทั้งหมด และคาดว่าภายในระยะเวลา 3-5 ปีหลังจากนี้ สัดส่วนส่งออกไปยังประเทศอินเดียจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 20% ขณะที่ประเทศจีนคาดจะลดสัดส่วนลงเหลือราว 55% จากปัจจุบันอยู่ที่ 65% ของสัดส่วนการส่งออกทั้งหมด

คงเป้ายอดขาย 5 แสนต้น

แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 มองว่าอัตราการเติบโตยังคงอยู่ในระดับที่ เนื่องด้วยยอดการจำหน่ายสินค้ายางพาราส่วนใหญ่ยังเป็นราคาเดิม ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าในปัจจุบัน แต่ในช่วงไตรมาส 3-4/2568 การรับรู้รายได้จากการขายอาจได้รับผลกระทบจากราคายางใหม่ที่ปรับตัวลดลงอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้เท่าเดิมที่ 3.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณจำหน่ายยางพาราที่ไม่น้อยกว่า 5 แสนตัน จากในช่วงไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้จากากรขายรวม 8,698.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.96% จากไตรมาส 1/2567 ซึ่งอยู่ที่ 6,541.85 ล้านบาท

โดยรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น เกิดจากสถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19.90% เป็นผลมาจากทั้งด้านราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และผลต่างด้านปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษํทได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้ามาแล้วถึงเดือนตุลาคม 2568

ในแง่ของปริมาณขายจำนวน 127,090 ตัน เพิ่มขึ้น 12,470 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 10.88% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 6,077.46 ล้านบาท หรือ 69.87% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,207.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.81% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,620.56 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30.13% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 948.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 56.71% 

ในส่วนของแผนการลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานยางแท่งเฟสที่ 3 (STR3) บริษัทฯ ยืนยันความพร้อมในการดำเนินโครงการ โดยปัจจุบันได้ดำเนินการปรับพื้นที่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พิจารณาที่จะชะลอการดำเนินการก่อสร้างออกไปก่อน เพื่อประเมินความชัดเจนของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายภาษี (Reciprocal Tariffs) ของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในนโยบายการขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจยาง