นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้รวมเติบโต 0.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เทียบกับไตรมาส 1/67 ได้รับผลกระทบบางส่วนจากรายได้ค่าเช่าเครือข่ายที่ลดลงอันเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่น 850 MHz ซึ่งจะหมดอายุสัมปทานในเดือนส.ค. 68
โดยในไตรมาส 1/68 รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมรายได้จากค่าบริการเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC ) ปรับตัวดีขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของของรายได้ในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจออนไลน์ ส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกลดลง
ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการในไตรมาส 1/68 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยตามฤดูกาลและรายได้จากการโรมมิ่งภายในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลกระทบดังกล่าว รายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และไตรมาสก่อน
ในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในไตรมาส 1/68 ลดลง 638,000 เลขหมาย หรือ 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 48.8 ล้านเลขหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง 4.4% ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพในช่วงปี 67
ณ สิ้นไตรมาส 1/68 ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 15.3 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินลดลง 2.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีจำนวน 33.5 ล้านเลขหมาย เป็นผลจากปัจจัยตามฤดูกาล สำหรับผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.8 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 1/68 ผู้ใช้บริการ 5G เพิ่มขึ้นเป็น 14.2 ล้านเลขหมาย
สำหรับกำไรสุทธิหลังหักภาษี เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ควบรวมกิจการที่ 1.6 พันล้านบาท สำหรับไตรมาสนี้บริษัทบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.9 พันล้านบาท ที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาสนี้ จำนวน 160 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.3 พันล้านบาท
"ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญในไตรมาส 1/68 โดยเป็นครั้งแรกที่รายงานกำไรสุทธินับตั้งแต่การควบรวมกิจการ บริษัทฯ สามารถสร้างกำไรสุทธิหลังหักภาษี 1.6 พันล้านบาท สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่บริษัทได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทยังคงรักษาแนวโน้มการทำกำไรไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสนี้ แม้จะมีความท้าทายจากรายได้รวมที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยตามฤดูกาล”
ปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย รวมถึงต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้น จำนวน 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งแสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 1/68 EBITDA เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
การเติบโตของ EBITDA มาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 4.0 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 61.2% สำหรับไตรมาส 1/68
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ไตรมาส 1/68 ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนเครือข่ายลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 16.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยได้รับผลประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
"การรวมทรูและดีแทคเข้าด้วยกันถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในการรวมสองผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้เป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยทางการเงิน และการสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ร่วมกัน (Synergy) เราได้ปรับปรุงเครือข่ายของเราให้ทันสมัย ผสานเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมประสบการณ์ในทุกช่องทางการให้บริการลูกค้า และที่สำคัญเราได้สร้างทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยเป้าหมายร่วมกัน ที่พร้อมขับเคลื่อนการทำงานให้เร็วขึ้นและสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่ง ผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากในความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของทีมงานตลอดเส้นทางที่ผ่านมา"