กดปุ่มเริ่มเปิดให้มีการซื้อกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESG Extra Fund หรือ Thai ESGX) วันนี้ (2 พ.ค. 68) เป็นวันแรก ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่มีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนตามหลักเกณฑ์เดียวกัน Thai ESG โดนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80%
โดยนอกจากจะเป็นการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับทั้งนักลงทุนใหม่ที่ความสนใจ และกลุ่มนักลงทุนเดิมในกองทุนรวมระยะยาว LTF ให้สามารถโยกย้ายเป็น Thai ESGX แล้ว ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ที่ปรับตัวยืนแดนบวกสดใสมาตลอดทั้งวัน
สำหรับวันนี้ (2 พ.ค. 68) กองทุน Thai ESGX รวม 37 กองทุน จาก บลจ. ทั้งหมด 19 แห่ง ได้เริ่มเปิดขายกองทุนพร้อมกัน ยกตัวอย่าง กองทุนที่เริ่มโปรโมตขายแล้วในวันนี้ จำนวน 19 กองทุน จาก 7 บลจ. ประกอบด้วย
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า บลจ.อีสท์สปริง จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จำนวน 2 กองทุนด้วยกัน
โดยทั้ง 2 กองทุน มีชนิดหน่วยลงทุนให้เลือกลงทุนทั้งแบบสะสมมูลค่าและแบบจ่ายปันผล เพื่อรองรับเงินลงทุนใหม่และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และเงินลงทุนใหม่ ตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ซึ่งกำหนดช่วงเวลา 2 เดือน คือ พ.ค. - มิ.ย. 68
สำหรับเงินลงทุนใหม่จะเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 2 - 8 พ.ค. 68 โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ปี 68 ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และภายหลัง IPO ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. - 30 มิ.ย. 68 ผู้สนใจสามารถลงทุนด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท มีระยะเวลาถือครอง 5 ปีขึ้นไปนับจากวันที่ซื้อ (นับแบบวันชนวัน)
และสำหรับการสับเปลี่ยนหนวยลงทุนจากการกองทุน LTF นั้นจะสามารถดำเนินการได้ภายหลังช่วง IPO คือตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. - 30 มิ.ย. 68 ซึ่งต้องโอนมาทั้งหมด เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ปี 68 สูงสุด 300,000 บาท ปี 69 - 72 สูงสุดปีละ 50,000บาท มีระยะเวลาการถือครอง 5 ปีขึ้นไปนับจากวันที่จัดสรรหน่วย Thai ESGX แต่ละก้อน (นับแบบวันชนวัน)
นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เผยว่า บลจ.กสิกรไทย เปิดตัว 2 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ ThaiESGX ได้แก่ K-HDThaiESGX เน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนปันผลสูง 100%
และ K-70ThaiESGX เน้นลงทุนผสมในหุ้นยั่งยืนปันผลสูง 70% และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน 30% โดยมีรูปแบบให้เลือกลงทุน 2 Share Class ทั้งสำหรับเงินลงทุนใหม่ และสำหรับสับเปลี่ยนจาก LTF
โดยกำหนดเปิดขายครั้งแรกในระหว่างวันที่ 2 - 8 พ.ค. 68 เฉพาะ Share Class สำหรับเงินลงทุนใหม่ พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาท และเตรียมเปิดขายครบทั้ง 2 Share Class อีกครั้งในระหว่างวันที่ 13 พ.ค. - 30 มิ.ย. 68 พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 68 จากทั้ง 2 Share Class สูงสุดถึง 600,000 บาท
ทั้งนี้ การสับเปลี่ยนจาก LTF มายังกองทุน Thai ESGX สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 500,000 บาท โดยแบ่งเป็นปี 68 จำนวน 300,000 บาท และปี 69 - 72 ปีละไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ถือครองกองทุน LTF เดิม เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอจากการรับเงินปันผลที่สูงในระยะยาว พร้อมทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่อง
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM กล่าวว่า บริษัทได้เปิดเสนอขายกลุ่มกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (ThaiESGX) จำนวน 3 กองทุน แบ่งเป็นชนิด Class D สำหรับเงินลงทุนใหม่ และชนิด Class L สำหรับเงินลงทุนที่สับเปลี่ยนจาก LTF โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 2 - 8 พ.ค. 68 และเปิดให้นักลงทุนที่ต้องการสับเปลี่ยนจาก LTF สามารถสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. - 30 มิ.ย. 68 นี้
โดยทั้ง 3 กองทุนจะมีทั้งประเภทกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และกองทุนรวมผสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ รวมถึงสินทรัพย์ในต่างประเทศเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนโดยกองทุนทั้งหมดมีการบริหารกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management)
กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQ70PLUSX) (ระดับความเสี่ยง 5)
เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV และตราสารหนี้ ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินกว่า 30% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางค่อนข้างสูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังตราสารหนี้
กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQPLUSX) (ระดับความเสี่ยง 6)
เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุนเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นปันผล ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQDIVX) (ระดับความเสี่ยง 6)
เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี สมํ่าเสมอ หรือ มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะเน้นลงทุนในประเทศเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยในกลุ่ม ESG ที่ประวัติการจ่ายปันผลที่ดี
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM กล่าวว่า SCBAM เสนอขายกองทุน Thai ESGX พร้อมกัน 4 กองทุน โดยออกแบบกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายและคัดสรรหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ ESG เพื่อตอบทุกความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม มีให้เลือกลงทุนทั้งชนิดสะสมมูลค่าและชนิดจ่ายเงินปันผล
โดยกองทุน Thai ESGX ของ SCBAM จะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กองทุน SCBT70X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) ที่ลงทุนเชิงรุก บาลานซ์การลงทุนกับหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยที่ไม่เกินร้อยละ 70
ถัดมาเป็นแบบ Active แบ่งเป็น 2 กองทุน คือ กองทุน SCBTAPX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทย ESG และกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายตามเกณฑ์ ESG ไม่เกินร้อยละ 20 และกองทุน SCBTAX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) ที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยที่โดดเด่นด้าน ESG และมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
และสุดท้ายเป็นแบบ Passive กับกองทุน SCBTS100X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยตามดัชนี SET100 Free Float ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย โดย SCBAM จะเปิดเสนอขาย 4 กองทุนพร้อมกันวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2568 และลงทุนต่อเนื่องได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. - 30 มิ.ย. 68
สำหรับกองทุน Thai ESGX จาก SCBAM จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
"ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาค่อนข้างมากและอาจยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งแรกของปี จากปัจจัยภายนอกที่กดดันเศรษฐกิจและดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวม หากมองในเชิงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาด จะพบว่า บริษัทไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง ทำให้มองว่ามูลค่าราคาหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนกับกองทุน Thai ESGX คัดมาเฉพาะหุ้นไทยที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ESG การลงทุนจึงไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติการลงทุนที่ยั่งยืน แต่จากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ภาครัฐมอบให้แก่ผู้ลงทุนอย่างเต็มที่ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ทั้งวงเงินลงทุนใหม่และวงเงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ครั้งนี้ จึงเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่มีในกองทุนลดหย่อนภาษีทั่วไป"
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดตัวกองทุน Thai ESGX จำนวน 4 กองทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่มตามระดับความเสี่ยง กำหนดเสนอขาย IPO ครั้งแรก 2 - 8 พ.ค.นี้
ประกอบด้วย กลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน ได้แก่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด รายงานว่า บลจ.เกียรตินาคินภัทร พร้อมส่งเสริมการลงทุนระยะยาวอย่างยั่งยืน เปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคเคพี บาลานซ์ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KKP BL THAI ESGX) โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2 - 8 พ.ค. 68 จะเปิดเสนอขายเฉพาะหน่วยลงทุนชนิดเงินลงทุนใหม่ (KKP BL THAI ESGX-2568)
ส่วนนักลงทุนที่ถือ LTF เดิม ที่ต้องการสับเปลี่ยน LTF เข้ามายังกองทุน THAI ESGX เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ.เกียรตินาคินภัทร จะเปิดให้บริการหน่วยลงทุนชนิดเงินลงทุนเดิม (KKP BL THAI ESGX-for LTF) ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. 68 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กองทุน KKP BL THAI ESGX (ระดับความเสี่ยง 5) เป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายเน้นลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มความยั่งยืน โดยจะมีการลงทุนและมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ (net exposure) ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) โดยลงทุนในตราสารทุนในกลุ่มหุ้นยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV
โดยเน้นลงทุนในตราสารทุนที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ หรือมีแนวโน้มหรือศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต และมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งตราสารภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์และตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี รายงานว่า บลจ.กรุงศรี ออกกองทุน Thai ESGX ใหม่ 3 กองทุน ได้แก่
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การลงทุนของ บลจ. คงพยายามหาโอกาสเข้าไปลงทุนให้เร็วที่สุด แต่เป็นลักษณะทยอยลงทุนแบบ Selective แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะไม่ปกติ แต่ในมุมผู้จัดการกองทุนได้รับรู้เรื่องความเสี่ยงต่างๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องปัญหาสงครามการค้า และการปรับประมาณการ GDP และกำไรบริษัทจดทะเบียน
ประกอบกับมองภาวะดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในระดับน่าสนใจ และสะท้อนปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นไปมากพอสมควรแล้ว โดยพิจารณาได้จากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำกว่าระดับ 2 SD ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend yield) ขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% จากปกติที่อยู่ 3%
โดยตั้งแต่กองทุน Thai ESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธ.ค. 66 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่ง ทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทย จำนวน 252,403 ราย (ณ สิ้นปี 2567) มิติของการเติบโตของขนาดกองทุน (AUM 33,066 ล้านบาท ณ สิ้นวันที่ 31 มี.ค. 68) และมิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน
ทั้งนี้ คาดการณ์เม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อกองทุน Thai ESGX ในช่วง 2 เดือนนี้ประมาณ 1.5 - 2 หมื่นล้านบาท ส่วนมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน LTF ทั้งระบบปัจจุบันเหลือคงค้าง 1.5 แสนล้านบาท มีผู้ถือหน่วยลงทุนรวมกว่า 4 แสนราย ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเพราะต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
“ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ใส่ใจสังคม และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”