ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ 11 เม.ย. 68 เปิดการซื้อขายภาคเช้า (ณ เวลา 10.03.น) ดัชนีถอยลงมาอยู่ที่ 1,122.27 จุด ลดลง 11.68 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.03% จากปิดตลาดก่อนหน้า กรอบการแกว่งตัวช่วงเปิดตลาดภาคเช้าที่ 1,127.87 - 1,118.96 จุด
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังวางใจไม่ได้ล่าสุดสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีจีนเป็น 145% กดดันตลาดหุ้นโลก แม้ทรัมป์จะผ่อนคลายกับประเทศอื่น แต่โลกก็ยังเสี่ยงจะมี Downside ต่อเศรษฐกิจอยู่ดี
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 1014 จุด (-2.5%) นักลงทุนกังวลว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 3.28% ถูกกดดันจากอุปสงค์ที่จะหายไปจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดหลากหลายเหตุการณ์ประกอบไปด้วย ช่วงแรกสหรัฐฯได้รายงานเงินเฟ้อประจำเดือน มี.ค. ขยายตัวเพียง 2.4% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 2.5% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
แรงหนุนหลักๆ แล้วที่ทำให้เงินเฟ้อยังมิได้สูงมากนักมาจากพลังงานเพราะราคาพลังงาน (-3.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน) น้ำมันเบนซิน (-9.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน) แม้สินค้าอื่นๆ จะขยายตัวบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อปรับขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
แต่ด้วยเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ขยายตัวไม่ได้สูงมากนักแต่พบว่าตลาดหุ้นกลับปรับลงซึ่งแท้จริงแล้วตลาดหุ้นควรจะปรับขึ้นจากการคลายกังวลเงินเฟ้อ สาเหตุอาจเป็นเพราะในช่วงเวลาถัดมาทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 145% จากก่อนหน้าที่ 125%
สวนทางกับข่าวดีจากฝั่ง EU ที่ได้ประกาศยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ทำให้เม็ดเงินวิ่งกลับไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย (US Bond Yield ปรับลง , ราคาทองคำปรับขึ้นแรง) ซี่งสอดคล้องกับที่เราตั้งข้อสังเกต ไว้เมื่อวานว่าให้ระมัดระวังตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาอาจจะยังมีความเสี่ยงอยู่
โดยเช้านี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลง 5% ซึ่งอาจจะสร้างแรงกดดันมายังตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ทั้งนี้ด้วยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศที่ยังรุนแรง ทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินต่อไปจากนี้เป็นไปได้ที่อาจเห็นจีนตอบโต้กลับ
และหลังจากนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าภาษีที่ระงับการปรับขึ้นออกไป 90 วันจะกลับมาใช้อีกหรือไม่ หากวันใดวันหนึ่งกลับมาประกาศใช้ก็จะเป็นปัจจัยกดดัน ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.2% จากเดือนก่อน , 54 ตามลำดับ
แต่อย่างไรก็ตาม ผลต่อตลาดหุ้นอาจจำกัดเพราะนักลงทุนกังวลกับความเสี่ยงสงครามการค้ามากกว่า วันนี้ประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับฐานในกรอบ 1,090 – 1,140 จุด
ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนการเก็งกำไรระยะสั้นอาจต้อง Wait & See เพื่อรอดูความชัดเจนและไม่ควรถือหุ้นข้ามช่วงวันหยุดสงกรานต์เพราะสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูงโดยตลาดหุ้นไทยจะเปิดทำการอีกทีในวันพุธ (16 เม.ย.)
แต่หากเป็นนักลงทุนระยะกลาง - ยาว Valuation หุ้นไทยไม่ได้แพงมาก อาจเลือกสะสมในหุ้นที่เป็น Domestic Play และไม่แพงรวมไปถึงผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)