ทรัมป์ 2.0 ป่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่ ดึงทุนต่างชาติไหลออก

11 ก.พ. 2568 | 05:05 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.พ. 2568 | 05:24 น.

เปิดสถิติ 28 วันทำการแรกปี 68 ตลาดหุ้นไทยสะดุด ทุนต่างชาติไหลออกกว่า 1.08 หมื่นล้าน แนวโน้มดัชนีผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ความไม่แน่นอนนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" พลิกเกมการค้าโลก แนะเลือกหุ้นรายตัวปันผลสูง

นับตั้งแต่เปิดต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน หรือคิดเป็น 28 วันทำการ ตลาดหุ้นไทยยังคงยืนหยัดในแดนลบมากกว่าแดนบวก ความผันผวนยังคงมีอยู่ โดยได้รับแรงกดดันจากทั้งปัจจัยความเชื่อมั่นที่ถอยหลังในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศ เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็ดูบางเบา ราว 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน

แต่ที่น่าจับตามอง คือ มูลค่าการซื้อขายตามประเภทนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ (Fundflow) ที่มีสถานะขายสุทธิรวม 10,834.64 ล้านบาท สูงที่สุด รองลงทุน คือ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน มีมูลค่าขายสุทธิรวมที่ 3,103.68 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนภายในประเทศ มีสถานะซื้อสุทธิ รวมกัน 13,938.32 ล้านบาท แบ่งเป็น 265.19 ล้านบาท และ 13,673.13 ล้านบาท ตามลำดับ

แม้ว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2566 กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิ 27,724.32 ล้านบาท สูงกว่ามากถึง 16,889.68 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลง -60.92% แต่ดูเหมือนว่าการไหลออกของทุนต่างชาติในช่วงเวลานี้อาจเป็นการสะท้อนถึงความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยที่ลดลง และอาจเป็นอีกแรงที่ดึงให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังหาแนวรับไม่เจอ

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความกังวลต่อนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตลาดการเงินโลก ทำให้จะเห็นได้ว่าการไหลออกของเงินทุนต่างชาติยังมีต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) ที่มีความผันผวนอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแต่ละประเทศในตลาดภูมิภาคเอเชียนั้นก็มีความแต่ต่างกันไป แต่หลักๆ มองว่านโยบาย "ทรัมป์ 2.0" จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด เป็นผลที่ว่าทำไมประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีน ถึงเป็นกลุ่มแรกที่โดนขึ้นภาษี

แต่ในการใช้กลไกเครื่องมือการค้าอย่างการเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นของทรัมป์ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มอำนาจในการต่อรองทางการค้ามากกว่า เห็นได้ชัดว่า "ทรัมป์" ต้องการพลิกเกมการค้าโลกใหม่ ไม่ใช่เพียงในสถานะประเทศมหาอำนาจแบบเดิม แต่เป็นในสถานะผู้บริโภครายใหญ่ของโลก เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการค้า

"ต้องยอมรับว่าการประเมินผลกระทบยังทำได้ยากในเวลานี้ เพราะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน หากว่าการเจรจาต่อรองโดยเฉพาะประเทศจีนออกมาดี ก็จะเป็นผลบวกต่อกลุ่มประเทศเกิดใหม่ร่วมด้วย แต่ถ้าไม่ไทยก็อาจมีความเสี่ยงไปด้วย เพราะเราไม่ได้ส่งออกตลาดจีนเพียงประเทศเดียว แต่ไทยก็ส่งออกไปยังสหรัฐและได้ดุลการค้ามามากพอสมควร"

จึงมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นใน Emerging Market เปิดต้นปีมามีความผันผวนมากและยังไม่ Perform ดังนั้น ในระยะนี้จึงยังมีแนวโน้มที่จะเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง และตอบได้ยากว่าขณะนี้จะเป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ เพราะสถานการณ์ยังไม่มีความชัดเจน หากการค้าโลกเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็เชื่อว่าการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติก็จะดีขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับแรงกระเพื่อมดังกล่าวกันถ้วนหน้า แต่มีกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฝั่งสหรัฐฯ คือ "หุ้น Tech" เพราะดูเหมือนว่าการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ จากฝั่งของประเทศจีน ทั้งชิปของหัวเว่ย เทคโนโลยี AI จากหลายๆ ค่ายที่เรียกได้ว่าสามารถแข่งขันกับฝั่งสหรัฐฯ ได้เลย ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคยังมีความน่าสนใจ

แต่ด้วยตลาดหุ้นไทยยังไม่มีหุ้น Tech ที่ชัดเจนและโดดเด่น ทำให้นักลงทุนที่มีเงินในมือก็หันไปลงทุนในต่างประเทศ ในขณะที่คนมีหุ้นไทยอยู่ก็รอจังหวะช่วงตลาดหุ้นอ่อนตัวทยอยตัดใจขายออกลดความเสี่ยงการขาดทุน อย่างไรก็ดี การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงทำได้ แต่อาจต้องเป็นการเลือกเล่นรายตัว และเน้นที่หุ้นให้ปันผลที่ดีในระดับ 5-6%