BPP กางแผน 5 ปี เร่งอัพกำลังผลิตไฟฟ้าต่างแดนกว่า 1.5 พันเมกะวัตต์

23 ม.ค. 2568 | 08:36 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ม.ค. 2568 | 08:36 น.

BPP เปิดแผนงาน 5 ปี เดินหน้าลงทุนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้ารวมอีกกว่า 1,500 เมกะวัตต์ ในสหรัฐฯ จีน และอินโดนีเซีย อย่างต่อเนื่อง ยันรัฐฯไทยหั่นค่าไฟไม่กระทบต่อความมั่นคงบริษัท

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า การสนับสนุนจากราคาพลังงานและความต้องการใช้พลังงานในสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาของ AI และศูนย์ข้อมูล (Data Center) นั้น ทำให้ในปี 2568 คาดว่าราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาด ERCOT เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2567

อีกทั้ง บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปี 2567 รวมถึงการเติบโตของกำไรของโรงไฟฟ้าในจีนจากต้นทุนถ่านหินที่คาดการณ์ว่าจะลดลง และรายได้จาก Carbon Emission Allowance ดังนั้น แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจหรือนโยบายพลังงานภายในประเทศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

"บริษัทเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานของบริษัท จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนจากการที่บริษัทมีฐานการดำเนินงานในหลากหลายประเทศ ประกอบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสริมสถานะการเงินที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4-6% ต่อปี ในขณะที่ EBITDA ยังเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยมากกว่า 20% ต่อปี”

ถึงแม้ในปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกที่ธุรกิจพลังงานกำลังเผชิญ อาทิ ความกังวลต่อนโยบายลดค่าไฟฟ้าหรือเรื่องการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก Global Minimum Tax (GMT) ในอัตราขั้นต่ำ 15% จากบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร

สำหรับนโยบายลดค่าไฟฟ้าในประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ดำเนินการอยู่ในต่างประเทศ และโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งที่จำหน่ายไฟฟ้าในไทยล้วนเป็นสัญญาซื้อขายระยะยาว PPA ขณะที่ Global Minimum Tax (GMT) ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 มีผลกระทบจำกัดต่อ BPP เนื่องจากในประเทศหลักที่เข้าไปลงทุน ทางบริษัทมีการจ่ายภาษีในอัตราที่มากกว่า 15% อยู่แล้ว จึงไม่มีความเสี่ยงในเรื่องนี้ 

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเชื่อว่าธุรกิจพลังงานจะยังคงมีเสถียรภาพค่อนข้างมาก เนื่องจากไฟฟ้าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่คนจำเป็นต้องใช้ รวมไปถึงเทรนด์พลังงานในอนาคตจะยิ่งเสริมให้ความต้องไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของ BPP จะยังคงมีความยืดหยุ่นไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด

อิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP

"บริษัทจะมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตควบคู่ไปกับความยั่งยืน (Balancing Growth and Sustainability) ทั้งยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน"

อย่างไรก็ตาม BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพระดับสากล มุ่งนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกือบ 30 ปี สร้างการเติบโตในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ซึ่งกว่าร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็นการจำหน่ายไฟฟ้าในต่างประเทศเป็นหลัก โดยปัจจุบัน BPP มุ่งสร้างสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งพลังงานความร้อน (Thermal Energy) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในประเทศยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

โรงไฟฟ้า Temple II ในสหรัฐฯ

โดยปัจจุบัน BPP มีโรงไฟฟ้าและโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมด 40 แห่ง กำลังผลิตทั้งหมด 3.6 กิกะวัตต์ตามสัดส่วนการลงทุน และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์จากโครงการก๊าซธรรมชาติภายในปี 2030 โดยเน้นประเทศยุทธศาสตร์ เช่น สหรัฐฯ จีน และอินโดนีเซีย

สำหรับโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายไฟในประเทศไทย มีโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ที่มีสัญญาซื้อขายระยะยาว PPA จ่ายไฟให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คือ โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี จังหวัดระยอง และโรงไฟฟ้าเอชพีซี ใน สปป. ลาว ที่เป็นกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าสำคัญของไทย

"บริษัทมีความภูมิใจ ที่ 2 โรงไฟฟ้านี้ถือเป็นต้นแบบโรงไฟฟ้าที่มีการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือสูง (High reliability) และดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิตตามคำสั่งของกฟผ. (Base load power plant with full capacity dispatch) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการบริหารต้นทุนการผลิตโดยรวมของประเทศ (Cost effectiveness)"

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP วันนี้ 23 ม.ค. 68 ณ เวลา 15.29 น. อยู่ที่ระดับ 8.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท เปลี่ยนแปลง 0.57% จากราคาปิดตลาดก่อนหน้า ในช่วงระหว่างวันราคาหุ้นดีดตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 8.80 บาท และย่อตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ระดัย 8.65 บาท โดยมีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 3.46 ล้านบาท