ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภายในงาน ครบรอบ 60 ปี สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ในหัวข้อการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตคืออะไร ประเทศไทยและองค์กรธุรกิจจะเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรองรับอนาคต และความท้าทายสำคัญของโลก ว่า ในมุมมองของกฎหมาย มีกระบวนการต่างๆ ค่อนข้างมากสำหรับดำเนินธุรกิจ
ซึ่งในฐานะประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คิดว่ากระบวนการทำธุรกิจจะต้องรวดเร็วมีประสิทธิภาพ โดยในช่วง 7-8 ปีช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการปฎิรูปอะไรหลายๆ อย่าง จากการใช้กฎหมายมาตรการ 44 ซึ่งในปัจจุบันมีเริ่มมีการทบทวนกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ที่บังคับใช้ (กีโยติน) เข้ามาใช้ เพื่อการดำเนินธุรกิจให้มีสภาพคล่องมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ
นอกจากนี้ จะทำอย่างไรให้บริษัททั่วไป หรือสตาร์ทอัพ เข้าใจกระบวนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโต พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ควรได้เรียนรู้หลักสูตรการจัดการธุรกิจ สอนให้เข้าใจในเรื่องการเงิน ทั้งเงินทุน สินเชื่อ หรือความรู้พื้นฐานในการลงทุน
สำหรับภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน มองว่าเริ่มมีทิศทางดีขึ้นแล้ว โดยเชื่อว่าปัจจัยหลักๆ เป็นผลมาจากการเข้ามาของกองทุนวายุภักษ์ ทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ มองว่าต่างชาติเริ่มกลับมามีความมั่นใจและเชื่อมั่นใการลงทุนเพิ่มมากขึ้นหลังจากการเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว
ส่วนแนวทางการพัฒนาตลาดทุนไทยนั้น ปัจจุบันยังเป็นไปตามแผนงาน โดยปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเป็นผลดีต่อนักลงทุนมากขึ้น เช่น ความร่วมมือของ 3 หน่วยงานระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ได้รวดเร็วมากขึ้น หรือแม้แต่มาตรการควบคุม High Frequency Trade (HFT)
ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะปรับปรุงตลาด LiVEx หรืออาจเปิดตลาดใหม่ ที่นอกเหนือจาก SET mai และ LiVEx เพื่อผลักดันให้กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ สามารถเข้ามาระดมทุนในระบบได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงยังพิจารณานำกลุ่ม Venture Capital ต่างประเทศเข้ามาลิสต์ในตลาดใหม่ดังกล่าว ซึ่งแผนงานเหล่านี้คาดว่าจะระดมความคิดและแนวทางเพื่อหาความชัดเจนในช่วง 6-8 เดือนจากนี้
"เรายังไม่ตกผลึกว่าจะตั้งตลาดใหม่ หรือปรับปรุงตลาด LiVEx ที่ปัจจุบันยังไม่ Active มากนัก เพื่อตอบโจทย์ให้กลุ่มสตาร์ทอัพเข้ามาจดทะเบียนได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันมีแค่ 5 หลักทรัพย์ ซึ่งก็ต้องเข้าไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน โดยกลุ่มที่น่าจะเข้าได้เพิ่มทั้งกลุ่มอาหาร เฮลท์แคร์ หรืองานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชิงพาณิชย์ที่พอจะเข้ามาร่วมกับตลาดได้มั้ย และจะวางแนวทางอย่างไรต่อไป มองว่าบริษัทขนาดเล็กในไทยมีความสามารถเยอะ แต่ยังขาดโอกาส ถ้าทำได้ก็เหมือนช่วยเพิ่มความสามารถในการพัฒนาคนและความสามารถในการแข่งขันให้บริษัทไทยได้เจริญเติบโตในอนาคต"