นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,014 ล้านบาท ลดลง 15.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,868,127 และลดลง 11.2% จากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 กำไรสุทธิอยู่ที่ 21,295 ล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22,863 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 32,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 2.6% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ
ด้านสินเชื่อโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 0.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อและมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทายรอบด้าน
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ ในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 10,328 ล้านบาท ลดลง 8.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นผลจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัย ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวน 18,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (ก่อนรายการที่ เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 41.2%
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเงินสำรองในไตรมาส 2/2567 ไว้ที่ 11,626 ล้านบาท ลดลง 3.9% จากปีก่อน โดยในไตรมาสนี้รวมการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่รายหนึ่ง อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 161.7% โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีการตั้งเงินสำรองอยู่ที่ 21,828 ล้านบาท ลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
เงินในสินเชื่อในช่วงครึ่งแรกปี 2567 อยู่ที่ 2,438,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่สินทรัพย์อยู่ที่ 3,484,314 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สำหรับเงินรับฝากครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 2,457,274 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ส่วนคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.2567 อยู่ที่ 3.3% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.2% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8% ทั้งนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพในช่วงครึ่งแรกปีอยู่ที่ 95,097 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
นายอาทิตย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง เน้นความมั่นคงทางการเงิน รักษาระดับเงินสำรองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการบริหารต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จะมีความท้าทายรอบด้าน แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปิดให้นักลงทุนรวมถึงประชาชนทั่วไปเข้าถึง โอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนมั่นคงอย่างทั่วถึง โดยในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุน สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 7 ชุด มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายในปี 2567 ทั้งในส่วนของอัตราการเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ 3-5% จากครึ่งแรกปีนี้ที่ทำได้ 0.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิไว้ที่ 3.7-3.9% จากครึ่งแรกปีที่ทำได้ 3.83% อัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ -7.9% ซึ่งในช่วงครึ่งแรกปีนี้ตัวเลขอยู่ที่หลักเดียวระดับต่ำถึงปานกลาง
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 41.6% จากครึ่งแรกปีที่ทำได้ 43-45% และอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่ออยู่ที่ 1.60-1.80% จากครึ่งแรกปีที่ทำได้ 1.79% เป็นต้น