กรณีที่ทางตลาดหลักทรัพย์แหล่งประเทศไทย (SET) และหน่วยกำกับที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างพิจารณาการปรับเกณฑ์การรายงานการนำหุ้นไปวางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น ที่ต้องเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกัน การชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ของผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทจดทะเบียน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า มองได้ 2 แง่ คือ หากว่าผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ มีการตั้งการซื้อ-ขาย หรือรายงานการนำหุ้นไปวางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้นต่อตลาดหลักทรัพย์ ถ้าทำได้เร็วขึ้นก็จะแฟร์กับผู้ถือหุ้นรายย่อย
แต่ในอีกแง่ก็ต้องไม่ลืมว่า หุ้นก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์หนึ่ง ผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็มีสิทธิ์ที่จะบริหารจัดการกับสินทรัพย์ส่วนตัวในส่วนนี้ ตราบใดที่ไม่ได้มีการนำเอาข้อมูลภายในมาให้เพื่อประโยชน์ส่วนตน
"ผมมองว่าการซื้อ-ขายก็ไม่ได้ผิดอะไร ซึ่งจุดนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจต้องพิจารณาขอบเขตในการรายงานการซื้อขายร่วมด้วย"นายกิจพณกล่าว
ส่วนประเด็นที่หุ้นหนึ่งถูกบังคับขายหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Force Sell) ของผู้บริหารจนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เนื่องจากมีการขายหุ้นออกมาในปริมาณที่มากทำให้มีผลต่อราคา ซึ่งถ้าเป็นการถูก Force Sell จากรายย่อยผลกระทบก็จะไม่รุนแรงเช่นนี้ เพราะปริมาณหุ้นไม่มาก ถ้าในภาวะปกติราคาหุ้นก็จะไม่ถึงขั้น ราคา Floor (ราคาต่ำสุด)
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนหลังกลับไปก็จะเห็นว่า มีหุ้นหลายตัวที่โดนในลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน เช่น บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ JKN บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน)หรือ NRF บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และตัวล่าสุด บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG
กรณีของ YGG จับสังเกตได้ว่า มีสัญญาณที่ผิดปกติ ก่อนหน้านี้มีการตั้งราคาขายหุ้นในปริมาณที่มากหลักร้อยล้านหุ้น ดูเหมือนว่า กำลังมีคนที่ต้องการจะเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อครอบงำกิจการ แต่เหมือนเจตนาจะเป็นการขู่เสียมากกว่า แบบ "อยากได้นักก็เอาไป" และถูกตั้งในราคาที่สูงทำให้ก่อนหน้านี้มีการพยายามที่จะกดราคาหุ้นให้ลงมา Floor เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเข้าซื้อในราคาที่ถูกลงไปอีกกว่า 30%
ขณะเดียวกันโครงสร้างสัดส่วนผู้ถือหุ้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกิดการเปลี่ยนมือ ถ้าไปดูที่สินทรัพย์ของ YGG เองก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนมากและเป็นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากฝีมือของผู้บริหารมากกว่า ทำให้มองว่าถึงแม้จะมีการเปลี่ยนมือไป กลุ่มผู้บริหารเดิมที่ค่อยๆ ถอยออกมาก็อาจไปตั้งบริษัทและพัฒนาขึ้นมาใหม่ได้ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนก็ทำได้เพียงเฝ้าสังเหตอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าท้ายที่สุดผลจะออกมาในรูปแบบใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ทางบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้เผยในบทวิเคราะห์ว่า ก่อนหน้านี้ YGG มีแรงซื้อขายเข้ามาค่อนข้างสูงมากกว่าปกติ โดยมีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนกว่า 1.3 พันล้านหุ้น ต่อเนื่องมาถึงในวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 จากสถานการณ์ปัจจุบันทางฝ่ายแนะนำให้ Wait-and-see
เพื่อรอความชัดเจน ทั้งจากประเด็นโครงสร้างผู้ถือหุ้น และรอ Review ข้อมูลแผนธุรกิจหลังจากนี้ให้มีความชัดเจนก่อน (หากเป็นกรณีที่ 1) โดยทางฝ่ายกำลังติดตามรายงานการซื้อขายของผู้ถือหุ้นใหญ่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งคาดจะออกมาช่วงสัปดาห์หน้า (15-19 ก.ค.67)
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของ YGG ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) มีรายได้รวมอยู่ที่ 287.70 ล้านบาท 336.90 ล้านบาท และ 314.98 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่112.05 ล้านบาท 122.13 ล้านบาท และ 69.47 ล้านบาท โดยมีกระแสเงินสดสุทธิอยู่ที่ 70.23 ล้านบาท -2.49 ล้านบาท และ -135.90 ล้านบาท ในขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.67) มีรายได้รวมอยู่ที่ 91.05 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.96 ล้านบาท โดยมีกระแสเงินสดสุทธิอยู่ที่ 10.61 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นสูงสุด 10 อันดับของ YGG ได้แก่