คนไทยแห่ลงทุนหุ้นนอก ดันสินทรัพย์โต 136%

09 ก.ค. 2567 | 10:15 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2567 | 10:15 น.

จิตตะเวลธ์ชี้ 2 ปัจจัยหนุนหุ้นสหรัฐไปต่อ ผลประกอบการบจ.ที่โตต่อเนื่อง แถมนักลงทุนมั่นใจผลตอบแทน ยอมควักแม้ราคาหุ้นแพง พบคนไทยแห่ลงทุนนอก ส่งผลกองทุนส่วนบุคคล ไตรมาสแรกโต 17% โดยเฉพาะหุ้นสามัญพุ่ง 136% จากปี 65

ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปี 2567 ยังคงซบเซาจากปัจจัยกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ จากความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่อาจจะไม่เร็วและมากเท่ากับที่ตลาดคาดเอาไว้แต่เดิม ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ10 ปีปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 4.7% จาก 3.9% เมื่อสิ้นปีที่แล้ว กดดันสภาวะการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นทั่วโลกและรวมถึงตลาดหุ้นไทย

ขณะที่ภายในประเทศมีความล่าช้าในการอนุมัติพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งสะท้อนมายังภาพรวมเศรษฐกิจไทยทำให้ไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับ 2.7% ในไตรมาสแรกของปี 2566 หรือเทียบกับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.5%

คนไทยแห่ลงทุนหุ้นนอก ดันสินทรัพย์โต 136%

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าทิศทางการลงทุนครึ่งหลังปี 2567 ระยะสั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะยังคงมีความผันผวนอยู่ จากนโยบายการเงินของ Fed ที่จะต้องติดตามว่า จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อไหร่ ถ้าส่งสัญญาณว่า จะเริ่มลดได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดจะเป็นปัจจัยบวกให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์

ในทางตรงกันข้าม ถ้าทาง Fed ส่งสัญญาณโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ก็จะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ  นอกจากนี้ ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องของสงครามที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ และสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ ซึ่งตลาดก็ค่อนข้างมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยนี้

ส่วนระยะยาว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตที่สูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทำให้ในระยะยาวแล้ว ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

ปัจจัยที่สองคือ ความคาดหวังของนักลงทุนจากการเติบโตของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่สะท้อนผ่านทาง P/E ของตลาดหุ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีค่า Premium อยู่สูงถึง 25.6 เท่าในปัจจุบัน หมายความว่า นักลงทุนยินดีที่จะจ่ายแพงกว่าตลาดหุ้นอื่น และยิ่งถ้ามีปัจจัยในการเติบโตใหม่ๆ เข้ามา เช่น ตอนนี้มีเรื่องของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ก็มีโอกาสที่ P/E จะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้ในระยะยาว

 “ทิศทางดอกเบี้ย Fed ขาลง ย่อมมีผลต่อการลงทุนและการปรับพอร์ตแน่นอน แต่ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนั้นจะต้องดูสภาวะตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ ประกอบด้วย หากดูในส่วนของสหรัฐฯ เองมีการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% มาเป็นระยะเวลาหลายเดือนแล้ว ซึ่งในปัจจุบัน Fed ได้มีมุมมองที่เห็นว่าเงินเฟ้อนั้นดูในระดับที่คงที่” นายตราวุทธิ์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี ก็จะกระทบสินทรัพย์เช่นพันธบัตรระยะสั้นที่จะมีการออกมาใหม่ และในส่วนของความต่างของผลตอบแทนตลาดหุ้นและพันธบัตรก็จะค่อยๆ น้อยลง หากมองในมุมของบริษัทที่ต้องมีการกู้ยืมที่สูง อัตรากำไรอาจเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการกู้ยืมที่ตํ่าลงในอนาคต และการคาดการณ์กำไรบริษัทต่างๆ ก็อาจจะเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ตลาดยิ่งมีความมุมมองเชิงบวกกับตลาดมากขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ ภาพรวมกองทุนส่วนบุคคลหรือ Private Fund ยังมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า ไตรมาสแรกปี 2567 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนส่วนบุคคลของบลจ.ในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 369,290.04 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเติบโตถึง 17% ทำให้ภาพรวมมูลค่ากองทุนส่วนบุคคล ปัจจุบันมีสินทรัพย์ที่บริหารอยู่ถึง 2.5 ล้านล้านบาท

การเติบโตที่โดดเด่นมาจากสินทรัพย์ที่นักลงทุนออกไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหลักทรัพย์/ทรัพย์สินต่างประเทศที่เป็นเฉพาะในส่วนของหุ้นสามัญเติบโตจาก 22,559.93 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2565 เป็น 53,173.10 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2567  เติบโตถึง 135.7% แสดงให้เห็นถึงความต้องการของนักลงทุนที่กระจายความเสี่ยงการลงทุนไปต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

การเติบโตของกองทุนส่วนบุคคลนั้นคาดว่า จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี ซึ่งในปีนี้อาจอยู่ในระดับ 2-5% สอดคล้องกับการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนส่วนบุคคลในประเทศไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาจากตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ประกอบกับทางเลือกในการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้น จะเห็นได้ว่าจำนวนกองทุนส่วนบุคคลในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 92,790 บัญชี เพิ่มขึ้น 7.07% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังท้าทายในส่วนของการเติบโตยังเป็นปัจจัยความเสี่ยงของตลาดทุนต่างประเทศที่ในปัจจุบันมีการปรับขึ้นไปสูงนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนที่ขึ้นไปสูงมากแล้วอาจมีการปรับฐานในระยะสั้นนี้ได้ 

นายติยะชัย ชอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Wealth & Preferred Segment ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจบริหารความมั่งคั่งหรือลูกค้ากลุ่ม Preferred ของซีไอเอ็มบีไทยปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโต 12-13% (รวมเงินฝากและการลงทุนตั้งแต่ 1-3 ล้านบาท) โดยคาดว่า ภายในสิ้นปีจะมียอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ(AUM)อยู่ที่ 4.08 แสนล้านบาท จากเดือน พ.ค.อยู่ที่ 3.90 แสนล้านบาท รวมลูกค้าทั้งสิ้น 1.2 แสนราย ส่วนเป้ารายได้จากธุรกิจเวลธ์คาดว่า จะเติบโต 10%ในปีนี้ 

นายติยะชัย ชอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Wealth & Preferred Segment ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย

“ปีนี้ธนาคารเน้นดูแลลูกค้าด้วยเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ CIMB Preferred ดอกเบี้ยรวมโบนัสสูงสุด 2.2% เปิดบัญชีขั้นตํ่า100,000 บาท เปิดบัญชีได้คนละ 1 บัญชีเท่านั้น ยอดเงินฝากมากกว่า 3 ล้านบาท ถึง 50 ล้านบาทดอกเบี้ยรวมโบนัสสูงสุด 2.2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่วันนี้-31 ธ.ค. 2567” 

นอกจากนี้บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชิลดี (Chill D) ดอกเบี้ยสูงสุด 2.88% ต่อปี (วงเงินฝากมากกว่า 50,000-100,000 บาท) จะมีดอกเบี้ยเข้าบัญชีรายเดือน 187.19 บาทต่อเดือนทุกวันที่ 1ของเดือนถัดไป ซึ่งการออมหรือการวางแผนทางการเงินนั้น ซีไอเอ็มบีไทยมีผลิตภัณฑ์เชื่อมระหว่างเงินฝากกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นเช่น หุ้นกู้ บอนด์ที่ให้ยีลด์เฉลี่ย 3-6%

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เหลือปีนี้ ซีไอเอ็มบีไทยคาดว่า อัตราเติบโตของเงินฝากทั้งระบบจะอยู่ที่ 5-10% แนวโน้มยังคงเห็นการแข่งขันด้านราคา ซึ่งซีไอเอ็มบีไทยตั้งเป้าเงินฝากจะเติบโตรวม 14% ยอดคงค้างเงินฝาก ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 1.87 แสนล้านบาทจาก 1.69 แสนล้านบาท (ณ เดือนพ.ค.67) โดยเงินฝากออมทรัพย์ ณสิ้นเดือนพ.ค.เติบโตแล้ว 20%จากทั้งปีตั้งเป้าจะเติบโต 34% จากการเน้นเงินฝากดอกเบี้ยสูง

นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า ธนาคารไม่ได้แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งไม่ได้มาจากเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี แต่มาจากสัดส่วนลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่กว่า 90% มีสินทรัพย์ในไทย จึงต้องการแนะนำสินทรัพย์ที่สามารถขยับได้ให้มีการลงทุนในตลาดต่างประเทศ แม้ว่าหุ้นไทยราคาไม่แพง จากท่ี่ีมีกำไรต่อหุ้น (P/E) 14 เท่า

นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

“ตลาดหุ้นไทยและจีน แข่งกันเดี้ยง เป็นในลักษณะนี้มา 2-3 ปีแล้ว ซึ่งมาจากปัจจัยปัญหาความไม่มั่นใจ เพราะตลาดไทยไม่นิ่ง นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในตลาดอื่นแทน ประกอบกับหุ้นไทยไม่ได้หลากหลาย เพราะมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) น้อย ทำให้ความหลากหลายในตลาดมีไม่มาก” นางสาวศิริพรกล่าว

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,007 วันที่ 7 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567