เปิดใจ "กรณ์ จาติกวณิช" ว่าด้วยเรื่องการเมืองและตลาดหุ้นไทย

25 มิ.ย. 2567 | 06:30 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มิ.ย. 2567 | 11:42 น.

"กรณ์ จาติกวณิช" มองตลาดหุ้นไทยหมดแรงไปต่อ แนะการดึงความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติกลับมาได้ต้องรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยใหม่ นักลงทุนปรับพอร์ตหันหน้าซบตลาดต่างประเทศ มองเป็นโอกาสมากกว่า พร้อมมองการอำลาการเมืองหวังว่าอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

KEY

POINTS

  • นายกรณ์มองว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาอย่างเพียงพอ ทำให้นักลงทุนต้องหันไปหาตลาดต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า แม้ยังคงมีการลงทุนในหุ้นไทยอยู่แต่ต้องมีการปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงด้วยการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน
  • นายกรณ์มองว่า การเรียกความเชื่อมั่นกลับมาในตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างชัดเจน รัฐบาลต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับเศรษฐกิจไทย ทำให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ
  • นายกรณ์ ระบุว่า การลาออกจากการเมืองอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และยังคงมีความมุ่งมั่นในการใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ

เปิดใจ "กรณ์ จาติกวณิช" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากโบกมืออำลาการเมือง เมื่อปลายปี 2566 ด้วยการประกาศการลาออกจากสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า ก่อนหวนกลับสู่วงการตลาดทุนไทย ในฐานะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ Finnomena

ด้วยประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เจ.เอฟ. ธนาคม จำกัด ซึ่งพาธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ก่อนจะดำรงตำแหน่งประธานบริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงปี 2551-2553 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้วิเคราะห์ถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขของตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน

กรณ์ จาติกวณิช

เริ่มจากมุมมองเกี่ยวกับตลาดทุนไทยในปัจจุบัน นายกรณ์บอกว่า ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่เติบโตมากับตลาดหุ้นไทย แต่มาวันนี้มองเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้นได้เลย ในมุมมองของนักลงทุนก็คงไม่แปลกที่ต้องออกไปหาโอกาสในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า มองว่าจุดนี้เป็นโอกาสมากกว่า ก็ใช่ว่าจะทิ้งหุ้นไทยไปเลยสัดส่วนก็ถือหุ้นไทยของนักลงทุนเชื่อว่ายังคงมีติดพอร์ตอยู่

เพียงแต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้น การปรับความเสี่ยงของพอร์ต ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศก็เป็นทางเลือกที่ดี มองว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนมากกว่า

"สมมุติว่าคนเรามีอายุเฉลี่ย 80 ปี ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงใกล้เกษียณแล้ว เท่ากับว่าเหลือเวลาอีกราวๆ 20 ปี การออมเงิน หรือการลงทุนในหุ้นไทยอาจให้ผลตอบแทนที่ไม่มากเพียงพอต่อการพักหลังเกษียณแล้ว แต่การเลือกลงทุนในตลาดต่างประเทศอาจให้ผลตอบแทนที่เห็นเม็ดเงินเห็นกำไรที่ชัดเจนได้มากกว่า การลงทุนใน 7 ปี อาจเห็นกำไรที่มากกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยที่อาจกินเวลากว่า 10 ปี"นายกรณ์ยกตัวอย่าง

ถามว่าตลาดหุ้นไทยจะเรียกความเชื่อมั่นในสายตาของต่างชาติให้กลับมาได้อย่างไร ก็ต้องกลับไปย้อนดูกันที่โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นเหมือนกระจกสะท้อนต่อภาพของเศรษฐกิจในประเทศ

หากว่าไม่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เห็นอย่างชัดเจน รัฐบาลยังไม่มีการดึงเอาอุตสาหกรรมโลกใหม่ อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้ามาสร้าง New S-Curve ต้องดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้ต่อเนื่อง 10 ปี เพื่อให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตในระดับที่ดีต่อนักลงทุน ไม่เช่นนั้นเม็ดเงินต่างชาติก็คงไม่กลับมาในเร็ววันได้

เทียบให้เห็นภาพชัดๆ หลายตลาดหุ้นในต่างประเทศซึมตัว อาทิ ประเทศญี่ปุ่นที่เผชิญกับปัญหาเงินฝืดมาอย่างยาวนาน แต่ในวันนี้จากนโยบายทางการเงินต่างๆ ของภาครัฐ ทำให้ปัจจุบันญี่ปุ่นก้าวข้ามปัญหาเงินฝืดมาได้แล้ว

สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการเปลี่ยนความคิดของคน (Mind set) ตั้งแต่ระดับของผู้บริหาร เกิดการลงมือทำจริงและทำให้เห็นถึงผลลัพธ์ คนถึงจะเริ่มเชื่อ กองทุนต่างๆ ในต่างประเทศเห็นและกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้รัฐบาลญี่ปุ่นทำให้เห็นได้จริง มาวันนี้ตลาดทุนญี่ปุ่นจึงกลับเข้ามาอยู่ในสายตาของต่างชาติมากขึ้น

สรุปมุมมอง "กรณ์ จาติกวณิช" ถึงกัญหาและแนวทางแก้ไขสำหรับตลาดหุ้นไทย

ส่วนการปรับตัวลงลดของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่หลุด 1,300 จุด ไปในช่วงกลางเดือนมิ.ย.67 ที่ผ่านมา จะเป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่นั้น นายกรณ์ ระบุว่า บอกไม่ได้ว่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงวิกฤตโรคระบาดเคยลงไปต่ำกว่า 1,000 จุดมาแล้ว ภาพของความกดดันและความผันผวนยังคงมีอยู่ ก็ต้องย้อนกลับไปที่คำตอบเดิมว่า หากประเทศไทยยังไม่มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้เห็นอย่างชัดเจน การลงทุนของต่างชาติ ความเชื่อมั่นก็ยังไม่กลับมา

นายกรณ์ ระบุว่า อันที่จริงแล้วเรื่องเหล่านี้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยนั้น ตนเคยพูดไปแล้วก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ส่วนคำถามที่ว่าจะหวนกลับไปทำงานการเมืองอีกหรือไม่?

"ก็คาดหวังว่าการอำลากันครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เหตุผลที่ต้องลาออกจากการเมือง ส่วนหนึ่งก็เพราะด้วยอายุที่ใกล้กำหนดเกษียณ จะถึงวัย 60 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้จะหายไปไหน ผมยังอยากเอาความรู้ความสามารถที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต่อประเทศอยู่"นายกรณ์กล่าว

สำหรับการแต่งตั้งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ "นายอัสสเดช คงสิริ" แทน นายภากร ปีตธวัชชัย นั้น นายกรณ์มองว่า ตนและนายอัสสเดช เคยพบได้ร่วมงานกันบ้างในช่วงที่ยังอยู่ บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) ซึ่งนายอัสสเดช นับว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนที่ตรงสเปค ที่จะขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เชื่อว่านี่ก็ไม่ได้มีผลหรือมีความเกี่ยวข้องกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยแต่อย่างใด

ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นไทยถูกการขายชอร์ต (Short Sell) แม้จะมีมาตรการเข้ามากำกับดูแลแล้ว แต่ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นนั้น นายกรณ์มองว่าเรื่องของการ Short Sell ก็มีส่วนที่เข้ามาสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ก็เป็นเพียงบางกลุ่มเท่านั้น และไม่ใช่ทั้งหมด แต่ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่ลงจริงๆ คือเศรษฐกิจภาพใหญ่มากกว่า ไม่แปลกที่คนจะหันไปลงทุนต่างประเทศกันมากกว่าถือหุ้นไทย