ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดรับฟังความคิดเห็น(Public Hearing)เรื่อง แนวนโยบายการให้สินเชื่อภาคธุรกิจบางประเภท ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม -10 มิถุนายน 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน โดยยังคงหลักการเดิมที่เน้นให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อไปยังกลุ่มที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการผลิตของประเทศในระยะยาวและอาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
ธปท.จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยเพิ่มลักษณะสินเชื่อที่สถาบันการเงินพึงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เช่น สินเชื่อที่อาจเอื้อต่อการหลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์ของทางการ ปรับปรุงข้อกำหนดในการให้สินเชื่อโดยมีหลักทรัพย์เป็นประกัน และยกเลิกข้อกำหนดบางประการเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง
แหล่งข่าวในวงการตลาดเงินตลาดทุนสะท้อนมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มีข้อสังเกตุว่า หลังการระบาดของโควิด-19 ภาวะตลาดหุ้นไทยร่วง ทำให้บริษัทอยากซื้อคืนหุ้นของตัวเอง หากบริษัทมีสภาพคล่องก็ไม่มีประเด็น แต่กรณีที่บริษัทไม่ได้ใช้เงินของตัวเอง แต่เป็นการใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อซื้อคืนหุ้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการผลิตของประเทศในระยะ ยาว (Productive) หรืออีกประเด็นคือ การซื้อคืนหุ้น โดยใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ผู้กู้เงินยังไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นดังกล่าว
ส่วนตัวมองว่า การที่ธปท.จะออกประกาศดูแล Treasury Stock และ บัญชีมาร์จิน หรือ Margin Loan เป็นเรื่องที่ดี เพราะตอนนี้ธุรกิจในไทยเกิน 80% เป็นนอมินีของต่างชาติ คือ ใช้คนไทยเปิดนิติบุคคลบังหน้า ใช้วิธีเทคโอเวอร์ธุรกิจใกล้ล้มละลายหรือธุรกิจที่ขาดทุนแล้วนำบริษัทเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง จากการที่คนไทยที่ไม่รู้เรื่องเข้าไปซื้อด้วยดังนั้นการใช้นอมินีในการทำธุรกรรมต้องป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้ามาสร้างความเสียหายกับประชาชนคนไทย
สอดคล้องกับแหล่งข่าวอีกรายระบุกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ไม่รู้ว่ามีเหตุอันใดที่ทำให้ธปท.เกิดความกังวลและออกมาเป็น hearing อันนี้ แต่ส่วนตัวคิดว่า น่าจะมาจาก 3 ปัจจัยคือ
“ร่างเกณฑ์ดังกล่าวสะท้อน 2 มุมคือ ธรรมภิบาลต้องรัดกุมยิ่งขึ้น ไม่ให้ลุกลามมาถึงแบงก์ และความอ่อนแอของตลาดหุ้น ทำให้ equity financing มีความเสี่ยงยิ่งขึ้น ซึ่งแบงก์ต้องรัดกุม อย่าง Treasury Stock หลักการต้องมาจากตัวบริษัทเองมีสภาพคล่องเหลือ มีส่วนทุนมากเกินความจำเป็น จึงพิจารณาทำ Treasury stock ไม่ใช่ไปกู้เงินมาทำ”
ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งให้ข้อสังเกตุว่า เรื่อง Treasury Stock ตามหลักการควรจะทำได้ตามธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว คนทำถูกต้องไม่เดือดร้อน ยกเว้นคนมีหนี้และกู้เงินมาทำ Treasury Stock อาจจะมีความเสี่ยง แต่รายละเอียดคงต้องรอผลการ Hearing ก่อน เพราะรายละเอียดเป็นตามคำอธิบายที่เปิดรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบธุรกิจหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ แต่ยังไม่มีรายละเอียดแนวทางปฎิบัติให้ชัดเจน
ส่วน Margin Loan ก็มีความเสี่ยงคือ หลังจากธปท.ออกประกาศดังกล่าว ธุรกิจที่ปล่อยสินเชื่ออาจต้องทบทวนว่า ไปไหวหรือไม่ เพราะธุรกิจพวกนี้กว่า 70-80% อยากปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรมากเกินไป ไม่ใช่นวัตกรรมทางการเงิน ส่วนตัวเห็นด้วยกับมาตรการ Margin Loan มากกว่า Treasury Stock แต่ควรจะมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งหากดูจากตลาดในสหรัฐปริมาณซื้อคืนหุ้นต่อปีน่าจะประมาณ 1%
“ส่วนตัวคิดว่า ธปท.น่าจะมีตัวเอย่างธุรกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และชี้ให้ผู้ประกอบการหรือธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้เห็นความเสี่ยงที่พึงต้องระมัดระวัง เพราะในแง่ของผู้บริหารสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จริงๆ จะพิจารณาความเสี่ยงอยู่แล้ว รวมถึงช่วงเวลาด้วยที่อาจถูกตั้งคำถามว่าทำไม ต้องทำไทม์มิ่งอาจถูกตั้งคำถามว่าทำไมต้องทำตอนนี้ Treasury Stock” แหล่งข่าวกล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,000 วันที่ 13 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567