ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ฉายภาพเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังปี 67 โต

31 พ.ค. 2567 | 00:00 น.

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ มองปลายปี 67 ยังมีลุ้น ธปท. ลดดอกเบี้ย 0.25% ครึ่งปีหลังแนวโน้มเศรษฐกิจไทยดีกว่าครึ่งปีแรก ตามการเบิกจ่าบงบภาครัฐ การท่องเที่ยวเข้าไฮซีซัน

จากประเด็นที่ โกลด์แมน แซค์ ได้ปรับคาดการณ์การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกปี 2568 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 เป็นผลมาจากแผนการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลและโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความกดดันในการลดอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ลดน้อยลง และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงที่ 0.25% ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2568

ประกอบกับการที่รัฐบาลวางแผนเพิ่มการใช้จ่ายรายปีราว 1.22 แสนล้านบาท ในงบประมาณปีปัจจุบัน เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับดิจิทัลวอลเล็ต จะผลักดันการขาดดุลการคลังเพิ่มเป็น 4.30% ของ GDP จากเดิมที่คาด 3.70% นอกจากนี้ ทางโกลด์แมน แซคส์ ยังคงมองแง่ลบต่อทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. และการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศอีกด้วย เนื่องจากการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความต้องการทางการเงินที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่ค่าเงินบาทจะยังคงถูกกดดันจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ และส่วนต่างการเติบโตของประเทศเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในความคิดเห็นส่วนตัวนั้น มองว่าทาง ธปท. มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปี 2567 ลงอย่างน้อย 1 ครั้ง ประมาณ 0.25% จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 2.5% ทั้งนี้ ประเทศไทยยังถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น โอกาสที่จะปรับช่องว่างให้ลดลงจึงไม่ได้มีมาก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 5.5%

ทั้งนี้ อาจต้องรอดูสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยโลกร่วมด้วย ว่าแต่ละประเทศจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็จะช่วยลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจลงได้ส่วนหนึ่ง และหากถามว่าถ้า ธปท. ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้จะมีผลกดดันต่อตลาดทุนไทย หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต่อไปอีกหรือไม่นั้น ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากนัก หรือแม้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง 0.25% ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

การจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีหลายปัจจัยที่ต้องเอามาดูร่วมด้วยไม่เพียงแค่สภาพเศรษฐกิจภายในประเทศเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2567 เศรษฐกิจในประเทศจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี หลักๆ เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ ที่จะเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งยังไม่นับรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่คาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 4/2567

นอกจากนี้ 2 เครื่องมือที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอย่าง การท่องเที่ยว และการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 2567 เนื่องจากเข้าสู่ช่วยไฮซีซันของธุรกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันจากการที่นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้มีการเดินสายให้ข้อมูลกับต่างชาติและชักชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยนั้น เชื่อว่าจะเป็นอีกแรงสำคัฐที่เข้ามาช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้

อย่างไรก็ดี การที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลข GDP ไทยในไตรมาส 1/2567 เติบโตเพียง 1.5% ทำให้มองว่าไตรมาสที่เหลือของปีนี้อาจต้องมีการผลักดันการเติบโตของ GDP ให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอย่างน้อย 3-3.5% เพื่อถัวเฉลี่ยอัตราการเติบโตของ GDP ทั้งปีนี้ให้ได้ที่ระดับ 2.5%

ดังนั้นแล้ว ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มองว่ากลุ่มหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งหุ้นกลุ่มอุปโภค-บริโภค การใช้จ่าย และสถาบันการเงิน จากในช่วงครึ่งแรกปีที่กลุ่มการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นตัวเด่น