จากการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ วานนี้ (23 เม.ย.67) ได้มีคำตัดสินให้ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งกระทำผิดสัญญาและผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ต้องใช้คืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้กับ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นโจทก์ ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 4 รุ่น มูลหนี้เงินต้นรวม 5,264.10 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้ ชุด STARK239A ,STARK249A ,STARK245A และ STARK255A
ทั้งนี้มูลหนี้ดังกล่าวยังไม่ได้รวมดอกเบี้ย และค่าเสียหาย เนื่องจากธนาคารกสิกรไทย ได้ยื่นฟ้องเป็น"คดีผู้บริโภค" ศาลจึงได้กำหนดค่าเสียหายเพื่อลงโทษเพิ่มอีก 1 ใน 4 หรือ 25% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดของหุ้นกู้ เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นการผิดนัดชำระหุ้นกู้อย่างเดียว แต่จงใจเอาเปรียบทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย
ศาลแพ่งฯ นัดอ่านคำพิพากษา 11 มิ.ย.นี้
นอกจากหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด ยังมีผู้เสียหายในกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 คือ รุ่น STARK242A มูลหนี้เงินต้น 3,934.30 ล้านบาท ซึ่งมี บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส (ASP) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
ความคืบหน้า วันนี้ ( 24 เม.ย.67 ) บล.เอเซียพลัส ได้ส่งหนังสือถึงผู้ถือหุ้นกู้ STARK242A ระบุว่า ตามที่บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ยื่นฟ้อง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีผู้บริโภค คดีหมายเลขดำที่ ผบ 397/2566 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เพื่อเรียกร้องให้ผู้ออกหุ้นกู้ชำระหนี้คงค้างทั้งหมด และศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้มีการนัด โจทก์และจำเลยสืบพยาน ในวันที่ 23 เมษายน 2567 นั้น
ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ขอแจ้งให้ท่านทราบว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 โจทย์และจำเลย นำพยานเข้าสืบฝ่ายละ 1 ปาก และศาลฯ ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 11 มิถุนายน 2567 เวลา 9.00 น.
ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าที่สำคัญเป็นประการใด ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะแจ้งให้ท่านผู้ถือหุ้นกู้ทราบต่อไป
ด้านนายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะตัวแทนผู้ได้รับความเสียหายจากการลงทุนหุ้น STARK กล่าวว่า ความเสียหายกรณี STARK มีทั้งธนาคารเจ้าหนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท เจ้าหนี้หุ้นกู้กว่า 9 พันล้านบาท แล้วยังมีผู้เสียหายหุ้นสามัญอีกราว 75,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันที่ซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง 5,580 ล้านบาท และความเสียหายจากราคาหุ้นที่หายกลายเป็นศูนย์อีกกว่า 70,000 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยเสียหายมากกว่า 20,000 คน จากการตกแต่งบัญชี ปั่นราคาหุ้น หลอกลวงรายย่อยมาติดหุ้น กลายเป็นศูนย์ จะเยียวยาความเสียหายกันอย่างไร เพราะไม่ได้มีเฉพาะเจ้าหนี้สถาบันการเงินและเจ้าหนี้หุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ยังมีหุ้นสามัญอีก 75,000 ล้านบาท
" หากไม่ชดใช้ ปล่อยละลายกลายเป็นศูนย์ ก็มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศกลัวว่ามาลงทุนแล้วจะเจอตกแต่งบัญชี ปั่นราคาหุ้น พอเสียหายมาก็ไม่มีใครรับผิดชอบ เลยถอนการลงทุนหุ้นไทย จนปีที่ผ่านมาถึงเวลานี้ ตลาดหุ้นไทยเลยถูกขาย ผลตอบแทนตกต่ำที่สุดในโลก มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหายวูบไปมากกว่า 4 ล้านล้านบาทแล้ว ทุกฝ่ายจึงต้องมีทางออกเรื่องนี้เพื่อกอบกู้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นคืนมา"
หุ้นกู้ STARK ทั้ง 5 ชุด มูลค่าเงินต้นคงค้างรวม 9,198.40 ล้านบาท ประกอบด้วย