AEONTS ปี 67 สินเชื่อโต 6-7% ปันผลสูง 2.95 บาท

14 เม.ย. 2567 | 03:45 น.

โบรกคาด AEONTS กำไรปี 67 โต 7-17% หลังตั้งสำรองลดลง พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว 5-7% จากปีก่อน แม้มีความเสี่ยงการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ทำให้ลูกค้าบางส่วนค้างชำระ กระทบ NPL เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5-6%

บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ในปี 2566 พอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล AEONTS จะหดตัว 5.3% และ 3.3% ตามลำดับ ทำให้พอร์ตรวมลดลง 2.9% จากปีก่อน แต่ในปี 2567 ทาง AEONTS คาดว่าสินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้ ปัจจัยหลักจากการลงทุนภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-7% แต่ดูรายได้ช่วง 2 เดือนในไตรมาส 1/2567 มีความเป็นไปได้ที่รายได้อาจจะเติบโต 2 หลักได้

แต่ด้วยในปี 2567 มีการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ทำให้มีลูกค้าบางส่วนมีการค้างชำระเพิ่มขึ้น และทำให้ NPL จะปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะทำให้การตั้งสำรองในไตรมาส 1/2567 สูงกว่าไตรมาสก่อนที่ลงมาเหลือ 5% จากการปรับโมเดลการตั้งสำรอง ทั้งนี้ AEONTS ได้มีการตั้งสำรองเผื่อกรณีดังกล่าวไว้ก่อนหน้าแล้ว ทำให้ทั้งปีการตั้งสำรองจะลดลงจากปี 2566

แม้ปี 2566 มีกำไร 3.3 พันล้านบาท ลดลง 14.6% จากปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการหดตัวของสินเชื่อ แต่ AEONTS ยังคงระดับการจ่ายปันผลไว้ได้ โดยประกาศจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 2566 อีก 2.95 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 1.8% เมื่อรวมกับปันผลครึ่งปีแรกที่จ่ายไปแล้ว 2.55 บาท/หุ้น ทำให้ทั้งปี 2566 มีการจ่ายปันผล 5.50 บาท/หุ้นเท่ากับปี 2565 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 22 เม.ย. และมีการจ่ายวันที่ 17 ก.ค. 67

ในปี 2567 คาดว่ากำไรของ AEONTS จะเพิ่มขึ้น 13.9% จากปีก่อน เป็น 3.7 พันล้านบาท จากรายได้ที่เติบโตตามสินเชื่อ และการตั้งสำรองลดน้อยลง แต่ยังคาดว่าการจ่ายปันผลจะเท่ากับปี 2566 ที่ 5.50 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 3.3% ทั้งนี้ ทางฝ่ายยังคงราคาพื้นฐานของ AEONTS ไว้ที่ 178 บาท โดยมองว่าการที่สินเชื่อกลับมาเติบโต และคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจะช่วยให้ผลประกอบการเติบโต แต่ราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วบางส่วนทำให้เหลือส่วนต่างลดลง ส่งผลให้ทางฝ่ายแนะนำ “ทยอยซื้อ”

 

*ปี67กำไรพุ่ง17%

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หลังจากที่ AEONTS เน้นคุณภาพการให้สินเชื่อทำให้สินเชื่อปี 2566 ลดลง 3% จากปีก่อน โดยปี 2567 AEONTS ตั้งเป้าพอร์ตของสินเชื่อเติบโตราว 5-7% (สิ้นสุด ก.พ. 2568) มาจากการให้สินเชื่อบัตรเครดิตเป็นหลัก ทั้งนี้ ทางฝ่ายคาดส่วนต่างผลตอบแทน (spread) ปี 2567 อ่อนตัวเล็กน้อยตาม yield ที่ทรงตัว ขณะที่ต้นทุนการเงินน่าจะเพิ่มขึ้น

ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non NII) คาดดีขึ้นหนุนจากรายได้หนี้สูญรับคืนมากขึ้นและมีรายได้จากการขายลูกหนี้ที่ตัดจำหน่าย ในปี 2567 บริษัทยังคงนำระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อควบคุมต้นทุนต่างๆ อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (C/I ratio) ปี 2566 ยังสูงกว่าที่ทางฝ่ายคาดจากรายจ่ายต่างๆ ด้านการตลาดสูงขึ้น

ส่วนที่ credit cost และอัตราสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในไตรมาส 4/2566 ลดลงอย่างมาก เป็นผลจากการปรับวิธีโมเดลการจัดชั้นลูกหนี้ (ECL) model ซึ่ง AEONTS ได้ตั้งวิธีการที่เข้มงวดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ในด้านการปรับชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำขึ้นเป็น 8% ในเดือนม.ค. 2567 มองว่า credit cost และ NPLs ของ AEONTS น่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ในช่วงปลายไตรมาส 1/2567

ทั้งนี้ ปกติลูกค้าของ AEONTS จะจ่ายคืนหนี้ในอัตราขั้นต่ำอยู่ราว 50% ของพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิต (45% ของสินเชื่อโดยรวม) ณ ระดับนี้ บริษัทตั้งเป้า credit cost ปี 2567 น่าจะอยู่ราว 7-7.5% (ลดจาก 7.9% ปี 2566) ด้วยการคาดว่า NPL ratio จะอยู่ที่ 5.5-5.9% ทั้งนี้ สมมติฐาน credit cost ของทางฝ่ายในปัจจุบันอยู่ที่ 7.8%

ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 (สิ้นสุด ก.พ. 2568F) ขึ้นราว 7% และ 12% ในปี 2568 (สิ้นสุดก.พ. 2569) บนสมมติฐานของ 1. ปรับลด credit cost ลงอยู่ที่ 7% และ 7% (จาก 7.8% และ 7.8%) สะท้อนการปรับรูปแบบจำลอง ECL และแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น 2. ปรับเพิ่ม C/I ratio ขึ้นอยู่ที่ 37.6% และ 37.3% (จาก 36.1% และ 36.1%)

หลังการปรับสมมติฐานใหม่แล้ว ประมาณการกำไรสุทธิใหม่ปี 2567 ของทางฝ่ายจะอยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน จากนั้นจะเติบโตที่ 4.1 พันล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อนในปี 2568 จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทางฝ่ายปรับราคาเป้าหมายใหม่ปี 2567 ขึ้นเป็น 197.50 บาท และปรับเพิ่มคำแนะนำ AEONTS ขึ้นเป็น Outperform

 

*กำไรฟื้นตัวครึ่งปีหลัง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายแนะนำ ซื้อ AEONTS ราคาเป้าหมายที่ 190 บาท หลังจากที่เพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 ขึ้น 4-7% เพื่อสะท้อนรายได้จากหนี้สูญได้รับคืนที่สูงขึ้นและต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ที่ลดลง โดยคาดว่าอัตราส่วน NPL จะเพิ่มขึ้นในในช่วงครึ่งแรกปี 2567 เนื่องจากลูกค้าบางรายไม่สามารถชำระหนี้ได้หลังการชำระเงินรายเดือนขั้นต่ำผ่านบตรเครดิตสูงขึ้นเป็น 8% ขณะที่กำไรและคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2567 จากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ความเสี่ยงหลักได้แก่คุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าที่คาดไว้