นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ประเมินภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมในปี 2567 คาดว่ามีแนวโน้มการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยทางอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดการณ์ยอดผลิตยานยนต์ในปีนี้รวม 1.9 ล้านคันต่อปี เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.15 ล้านคันต่อปี และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 7.5 แสนคันต่อปี
บริษัทคาดว่ายอดการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่ประกอบยานยนต์ในปี 2567 ของบริษัทจะมีการเติบโตที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรม หรืออาจปรับตัวได้ดีกว่า เนื่องจากบริษัทไม่ได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ประกอบการเพียงในประเทศเท่านั้น แต่ยังรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในต่างประเทศร่วมด้วย โดยจากการกระจายฐานผลิตออกไปยังหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าจะสร้างการเติบโตให้บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับฐานผลิตในมาเลเซียปีนี้ก็มีการเติบโตที่ดีเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากการมองเห็นโอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในตลาดต่างประเทศ ทำให้บริษัทจะหันไปขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากเทียบยอดการผลิตยานยนต์ตลาดโลกในปีก่อน 90-91 ล้านคันต่อปี จะเห็นว่ายอดการผลิตยานยนต์ในประเทศเทศเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น และมองว่ายอดการผลิตยานยนต์ในตลาดโลจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและในระยะกลางอาจแตะที่ระดับกว่า 100 ล้านคันต่อปีได้
สำหรับการมาของยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) นั้น มองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจาก EV Car ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนประกอบ อาทิ ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ชิ้นส่วนพลาสติก และชิ้นส่วนโลหะตีอัดขึ้นรูป อยู่ เพียงแต่ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนในส่วนของเครื่องยนต์ และตัวถังน้ำมันเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้คิดเป็นเพียงสัดส่วนราว 5% ของยอดขายรวมบริษํทเท่านั้น ทำให้บริษัทสามารถรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เป็น EV Car มาได้เพิ่มอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเงินลงทุนในปี 2567 บริษัทวางการใช้งบประมาณไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งใหม่ มูลค่า 400 ล้านบาท ปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปบ้างแล้ว และเงินลงทุนรองรับการปรับปรุงสายงานการผลิตทั่วไปอื่นๆ และซ่อมบำรุงเครื่องจักร อีกประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยเงินลงทุนทั้งหมดในปีนี้มาจากแหล่งกระแสเงินสดในมือที่ได้มาจากการดำเนินงานทั้งสิ้น
ขณะที่การขายหุ้น Sakthi Auto (SACL) ในประเทศอินเดียนั้น บริษัทจะไม่มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในส่วนนี้อีกแล้ว รวมถึงทาง SACL จะมีการจ่ายเงินซื้อหุ้นคืนในส่วนที่เหลือ แบ่งออกเป็น 8 งวด ภายในระยะเวลา 2 ปีต่อจากนี้ จนครบจำนวนทั้งหมด ทั้งนี้ เงินที่ได้มาจากการขายหุ้นคืนดังกล่าวบริษัทจะนำเอามาคืนเงินกู้ยืม เพื่อลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยลง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่เฉลี่ย 10-12% ต่อเนื่องจากปีก่อนที่ทำได้ 11.69% สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 30,389.49 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 6.9% จากปีก่อนหน้าที่ 28,348 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 1,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ทำได้ 1,704 ล้านบาท