นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทยังมีความสนใจและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเข้าลงทุน ทั้งแบบการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) เพิ่มเติมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะใน เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์
โดยขณะนี้มีดีลที่อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาในมือแล้วประมาณ 4-5 ดีล เบื้องต้นคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนก่อนต้นปี 68 ในส่วนของมูลค่าการลงทุนนั้น คงยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ร่วมด้วย อย่างไรก็ดี หากว่าเป็นกรณีของการเข้าไปลงทุน บริษัทก็มีความคาดหวังว่าจะมีสัดส่วนในการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 20% เพื่อที่จะมีแนวทางในการนำเอาเทคโนโลยี นวัตกรรม และความรู้ความสามารถเข้าไปช่วยต่อยอดธุรกิจซึ่งกันและกันได้
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปี 67 ของ 5 ประเทศหลักในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มองว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของ 5 ประเทศดังกล่าวที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.2% ในปีนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่รุกขยายธุรกิจตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า (Frieght Forwarder) และการเติบโตในอาเซียน
โดยวางกลยุทธ์หลัก 3 ส่วนในปี 67 นี้ ได้แก่
กลยุทธ์แรก “Regional Connectivity & Expansion” บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 2570 โดยนับจากปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และเข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและจีน ประกอบด้วย
ขณะที่แผนการลงทุนต่อจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม ของ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) ภายในไตรมาส 2/67 นี้
กลยุทธ์ที่ 2 “Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative” บริษัทจะใช้จุดแข็งด้านความสามารถการให้บริการ “คลังสินค้าห้องเย็น” อย่างครบวงจรแบบ End-to-End และการให้บริการโลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่เปิดบริการแล้ว 6 ทำเล ได้แก่ สมุทรสาคร, บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ทำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่
1) DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้าได้ 23,000 ตัน
2) สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน
3) สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน
4) คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C
ขณะที่ธุรกิจ “ออโตโมทีฟ” (บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม สะท้อนจากสถิติเดือนมกราคม 2566 ถึง มกราคม 2567 สถิตินำเข้าและจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยรวม 63,250 คัน ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันรายใหญ่ในไทย ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30-35% มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร
แบ่งเป็นการให้บริการในพื้นที่ของบริษัท 400,000 ตารางเมตร และให้บริการแบบออนไซต์ในพื้นที่ของลูกค้าอีกกว่า 472,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯ จะนำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนนำโมเดลธุรกิจออโตโมทีฟรุกให้บริการในประเทศเวียดนาม
ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 “New Business Opportunities” จะโฟกัส 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความต้องการของผู้เช่า ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด (ALPHA) ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ทำเล คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนนำคลังสินค้า จำนวน 4 แห่ง พื้นที่รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร จัดตั้งกองรีทส์ในปี 67 นี้ มูลค่าไม่เกิน 3,500-3,800 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2/67 นี้ และภายหลังจากนั้นยังมีแผนผลักดัยเข้าจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในลำดับต่อไป ซึ่งก็คาดว่าจะได้เห็นข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 68
ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียมคลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ตารางเมตรไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทด้านการให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 70 ล้านบาทในปีนี้
นอกจากนี้ ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ “MeSpace Self Storage” ไว้ที่ไม้น้อยกว่า 112 ล้านบาท หรือเติบโต 53% จากปีก่อน โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าอันดับหนึ่งที่มีจำนวน 10 สาขา เช่น สยาม, ลาดพร้าว, พระราม 9, ศรีกรีฑา, พัทยา, ภูเก็ต เป็นต้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร มากที่สุดในประเทศไทย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่เก็บของเพิ่มเติม โดยมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ
นายบรรณ กล่าวเสริมว่า ขณะเดียวกันบริษัทมีนโยบายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสโคป 1 และ 2 ที่ 10% ในปีนี้ และมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593 ซึ่งกิจกรรมหลักที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2567 ประกอบไปด้วย