"บรรณ เกษมทรัพย์" แย้ม SJWD เจรจา 4-5 ดีลใหม่อัพแกร่งโลจิสติกส์

13 มี.ค. 2567 | 08:04 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2567 | 08:16 น.

SJWD แย้มเจรจา 4-5 ดีลใหม่ ไม่เกินปี 68 ได้ข้อสรุป วางกลยุทธ์ปี 67 ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์ทางบก น้ำ อากาศ ระดับภูมิภาค รุกเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ‘คลังห้องเย็น – ออโตโมทีฟ’ เตรียมถือหุ้น ‘เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม’

นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทยังมีความสนใจและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเข้าลงทุน ทั้งแบบการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) เพิ่มเติมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะใน เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์

โดยขณะนี้มีดีลที่อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาในมือแล้วประมาณ 4-5 ดีล เบื้องต้นคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนก่อนต้นปี 68 ในส่วนของมูลค่าการลงทุนนั้น คงยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ร่วมด้วย อย่างไรก็ดี หากว่าเป็นกรณีของการเข้าไปลงทุน บริษัทก็มีความคาดหวังว่าจะมีสัดส่วนในการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 20% เพื่อที่จะมีแนวทางในการนำเอาเทคโนโลยี นวัตกรรม และความรู้ความสามารถเข้าไปช่วยต่อยอดธุรกิจซึ่งกันและกันได้

"บรรณ เกษมทรัพย์" แย้ม SJWD เจรจา 4-5 ดีลใหม่อัพแกร่งโลจิสติกส์

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปี 67 ของ 5 ประเทศหลักในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มองว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของ 5 ประเทศดังกล่าวที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.2% ในปีนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่รุกขยายธุรกิจตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า (Frieght Forwarder) และการเติบโตในอาเซียน

โดยวางกลยุทธ์หลัก 3 ส่วนในปี 67 นี้ ได้แก่

  1. ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาค (Regional Connectivity & Expansion)
  2. เพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับธุรกิจ “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “ออโตโมทีฟ” (Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative)
  3. สร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New Business Opportunities) ภายใต้งบลงทุนรวมในปีนี้กว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท และวางเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เป็น 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570

กลยุทธ์แรก “Regional Connectivity & Expansion” บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 2570 โดยนับจากปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และเข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและจีน ประกอบด้วย

  1. เข้าถือหุ้น 4.2% ใน บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจรรายใหญ่ โดย SINO มีปริมาณขนส่งสินค้าทุกเส้นทางรวม 46,985 ตู้ในปีที่ผ่านมา และมีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ในไทยและอันดับ 6 ของโลก
  2. เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20.12% ใน บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้ประกอบการรายใหญ่ 1 ใน 3 ของเอเชียในธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าแก่สายการบินต่าง ๆ (General Sales Agent หรือ GSA) กว่า 20 สายการบิน ครอบคลุม 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, จีน และฮ่องกง โดย ANI มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายเครือข่ายให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป, ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI ประมาณ 185 ล้านบาทในปีนี้
  3. เข้าซื้อหุ้น 20.44% ในบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งทางรถและเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถเทรลเลอร์ (รถหัวลาก) รายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนในเส้นทางไทย - มาเลเซีย - สิงคโปร์ แก่ SJWD คาดว่าบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน SWIFT ประมาณ 55 ล้านบาทในปีนี้ โดยทั้ง 3 บริษัทดังกล่าว มีรายได้รวมกันในปีที่ผ่านมา มากกว่า 10,000 ล้านบาท

ขณะที่แผนการลงทุนต่อจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จากบริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม ของ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) ภายในไตรมาส 2/67 นี้

กลยุทธ์ที่ 2 “Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative” บริษัทจะใช้จุดแข็งด้านความสามารถการให้บริการ “คลังสินค้าห้องเย็น” อย่างครบวงจรแบบ End-to-End และการให้บริการโลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่เปิดบริการแล้ว 6 ทำเล ได้แก่ สมุทรสาคร, บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ทำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่ 
1) DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้าได้ 23,000 ตัน
2) สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน
3) สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน
4) คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C

ขณะที่ธุรกิจ “ออโตโมทีฟ” (บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม สะท้อนจากสถิติเดือนมกราคม 2566 ถึง มกราคม 2567 สถิตินำเข้าและจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยรวม 63,250 คัน ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันรายใหญ่ในไทย ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30-35% มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร

แบ่งเป็นการให้บริการในพื้นที่ของบริษัท 400,000 ตารางเมตร และให้บริการแบบออนไซต์ในพื้นที่ของลูกค้าอีกกว่า 472,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯ จะนำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนนำโมเดลธุรกิจออโตโมทีฟรุกให้บริการในประเทศเวียดนาม

ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 “New Business Opportunities” จะโฟกัส 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความต้องการของผู้เช่า ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด (ALPHA) ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ทำเล คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนนำคลังสินค้า จำนวน 4 แห่ง พื้นที่รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร จัดตั้งกองรีทส์ในปี 67 นี้ มูลค่าไม่เกิน 3,500-3,800 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2/67 นี้ และภายหลังจากนั้นยังมีแผนผลักดัยเข้าจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในลำดับต่อไป ซึ่งก็คาดว่าจะได้เห็นข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 68

ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียมคลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ตารางเมตรไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทด้านการให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 70 ล้านบาทในปีนี้

นอกจากนี้ ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ “MeSpace Self Storage” ไว้ที่ไม้น้อยกว่า 112 ล้านบาท หรือเติบโต 53% จากปีก่อน โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าอันดับหนึ่งที่มีจำนวน 10 สาขา เช่น สยาม, ลาดพร้าว, พระราม 9, ศรีกรีฑา, พัทยา, ภูเก็ต เป็นต้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร มากที่สุดในประเทศไทย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่เก็บของเพิ่มเติม โดยมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ

นายบรรณ กล่าวเสริมว่า ขณะเดียวกันบริษัทมีนโยบายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสโคป 1 และ 2 ที่  10% ในปีนี้ และมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593  ซึ่งกิจกรรมหลักที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2567 ประกอบไปด้วย

  1. Multi ModalTransportation หรือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ ระหว่างการขนส่งทางรถ รางและเรือเข้าด้วยกัน
  2. Backhaul Matching หรือการบริหารรอบรถบรรทุกสินค้าเที่ยวไปและกลับ
  3. การใช้รถขนส่งเชื้อเพลิงทางเลือก โดยปัจจุบันได้นำรถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเข้ามาทดแทนรถขนส่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
  4. การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ที่อาคารคลังสินค้า
  5. การใช้เทคโนโลยีจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) โดยนำมาใช้กับคลังสินค้าห้องเย็นตั้งแต่ปี 2562 สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและทดแทนการใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และแผนในปี 2568 – 2570  คือการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรในระดับสากลที่ดำเนินการด้าน GHG ในกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เช่น Smart Freight Center และ Global Logistics Emissions Council (GLEC) การเข้ารับการประเมิน CSA (Corporate Sustainability Assessment) เพื่อเป็นสมาชิก S&P Global  และการเข้ารับการประเมิน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Transport and Transport Infrastructure เพื่อมุ่งสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนของ SCGJWD