ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ. เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2567 บริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปที่ปัจจุบันมีอัตราการใช้อยู่ที่ระดับกว่า 90% แล้ว หลักๆเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นจากการจองพื้นที่คลังเก็บสินค้ากว่า 14,000 ตารางเมตรจากบริษัท BYD เพื่อใช้ในการเก็บรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
โดยมองว่าธุรกิจจัดเก็บและบริหารยานยนต์ได้รับผลดีจากความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังขยายตัว ในส่วนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นจะมีดีมานด์จัดเก็บอาหารทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาทดแทนลูกค้ารายเดิมเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และพัฒนาการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรูปแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ที่ระดับ 13.4% และ 3.2% ตามลำดับ เนื่องจากภายหลังการควบรวมกับ SCG บริษัทมีแผนการพัฒนาการลดค่าใช้จ่ายและควบคุมต้นทุนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาอัตรากำไรให้ดีขึ้นตามลำดับทุกปี พร้อมตั้งเป้าจะพัฒนาอัตราการทำกำไรให้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 0.5-1% เป็นอย่างน้อย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลัก 100 ล้านบาทต่อปี
กรณีราคาหุ้น บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) ที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไม้ได้มีความกังวลแต่อย่างใด และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะจะรับรู้เป็นผลตอบแทนจากเงินลงทุน หลังจากบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นสัดส่วนประมาณ 20% โดยมองว่าสาเหตุที่ราคาหุ้น ANI ปรับตัวลดลงเป็นเพราะสภาพตลาดและหุ้นที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทั้งนี้ บริษัทยังเชื่อมั่นและเดินหน้าธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่องในอนาคต
โดยก่อนหน้านี้ SJWD ซื้อหุ้นสามัญในบริษัท ANI เพิ่มเติมอีกจํานวนประมาณ 231 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 12.50% ผ่านวิธีการซื้อในตลาด (Open Market) หรือซื้อบิ๊กล็อต (Big Lot) จากผู้ขายที่ไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทในราคาไม่เกิน 7 บาท/หุ้น โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณไม่เกิน 1,620 ล้านบาท ส่งผลให้SJWD ถือหุ้นในบริษัท ANI รวมประมาณ 20.12% ในปัจจุบัน