ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศสั่นคลอนจากปัญหาการเปิดช่องให้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย Program Trading ทั้ง High-Frequency Trading (HFT) และ Robot Trade รวมไปถึงการขายชอร์ต Short sell เข้ามาจำนวนมากสะท้อนจากสัดส่วนการซื้อขายดังกล่าวขึ้นมาอยู่ที่ 50%ของมูลค่าการซื้อขาย
แหล่งข่าวในวงการตลาดหุ้นเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้เกิดภาวะที่เรียกว่า โปรแกรมเทรดเริ่มกินกันเองแล้ว เพราะคำสั่งซื้อขายหุ้นจับคู่กันเอง หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยเริ่มหยุดซื้อขาย จากดัชนีตลาดหุ้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่เคยสูงเฉลี่ยต่อวัน 2 หมื่นล้านบาทเหลือเพียง 8-9 พันล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์มหภาค จะเห็นเลยว่า ตลาดหุ้นไทยขณะนี้หดตัว และอีกไม่นานนักลงทุน HFT ก็จะออกจากตลาดหุ้นไทยไป เพราะไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในตลาดหุ้นสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้มูลค่าการซื้อขายหุ้นเหลือเพียง 2-3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
“หากเทียบกับประเทศต่างๆแล้วจะเห็นว่า ไม่เคยมีตลาดหุ้นไหนที่นักลงทุนในประเทศจะมีมูลค่าซื้อขายลดลง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ผิดเพราะวัตถุประสงค์ของตลาดหุ้น เพื่อให้เป็นแหล่งระดมทุนของคนในประเทศ เป็นแหล่งแสวงหากำไรจากการลงทุนของคนเกษียณหรือคนที่มีเงินออม ขณะที่นักลงทุน HFT จะทำกำไรได้ดีที่สุดในตลาดที่มีรายย่อยมากๆ"
ทั้งนี้นักลงทุน HFT เข้ามาในไทยแรกๆช่วงปี 2554 ซึ่งขณะนั้นมูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 3.2-3.5 หมื่นล้านบาท สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยประมาณ 70% หรือประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ขณะนั้นเงื่อนไขของตลาดยังไม่เอื้อต่อ HFT มากนัก แต่หลังจากที่ตลาดเปิดให้มีการเชื่อมต่อท่อเชื่อมตรงจากระบบของใครก็ได้ที่ได้รับอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จากปกติที่ตลาดจะต่อท่อให้กับโบรกเกอร์เท่านั้น ทำให้ลูกค้าเหล่านั้นสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้โดยตรง จากเดิมที่ต้องส่งคำสั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งแล้วต้องไปรอลำดับคำสั่งซื้อก่อน
ดังนั้นพอลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามา มูลค่าการซื้อขายต่อวันที่เคยอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาทขึ้นไปที่ 5 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2556-2558 จนไปแตะระดับแสนล้านบาทและทะลุสองแสนล้านบาทอยู่วันหนึ่ง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯคงชอบ เพราะจะได้ค่าธรรมเนียมเป็นล่ำเป็นสันและยังทำให้ดูว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่อง
ผ่านไปสักระยะ สัดส่วนนักลงทุนไทยเริ่มลดสัดส่วนลงมาที่ 50% ซึ่งยังถือว่ารับได้และเป็นช่วงที่ตลาดสมดุล เพราะนักลงทุนในประเทศควรอยู่ที่ระดับ 50-60% และต่างชาติควรอยู่ที่ 40% เพราะนักลงทุนไทยไม่ต้องใช้ความเร็วมาก ขณะที่การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนสถาบัน โบรกเกอร์จะไม่ได้ตรวจสอบว่า มีหุ้นจริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่หุ้นของสถาบันจะฝากไว้ที่คัสโตเดียน จึงเป็นการสั่งซ์้อขายไปก่อน แต่จะมารู้ตัวว่าเป็นการชายชอต ก็ต่อเมื่อไม่สามารถนำหุ้นมาส่งมอบได้
ขณะเดียวกันเมื่อมีโปรแกรมเทรดเข้ามา ทำให้การขายชอตของนักลงทุนสถาบันมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสามารถขายชอตระหว่างวันด้วย เพราะก่อนสิ้นวัน AI จะซื้อคืนหมดเพื่อปิดสถานะ ขณะเดียวกัน การส่งมอบหลักทรัพย์ด้วยระบบหักกลบยอดซื้อขาย ทำให้ไม่สามารถเห็นจำนวนหุ้นทั้งหมดได้ เพราะสิ้นวันจะนำส่งเฉพาะยอดหักกลบเท่านั้นไปที่สำนักหักบัญชี ก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ HFT มาขายชอตได้
“ทุกวันนี้นักลงทุนสถาบันไม่เหมือนเดิม บางกลุ่มเป็นพวกเทาๆ ขณะที่ตลาดเองยังต้องพึ่งพานักลงทุนสถาบันทำให้เป็นช่องในการทำ Naked short selling ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้จัดการกองทุนปัจุบันจริยธรรมก็ยังไม่เท่ากับผู้จัดการในอดีต แต่หน่วยงานกำกับอย่างตลาดหลักทรัพยฯต้องตามให้ทัน”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการใน 4 ด้าน เพื่อกำกับดูแล Naked Short selling คือ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,967 วันที่ 18 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567