นายซิม ลิม ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซิเคียวริตี้ส์ โฮลดิ้งส์และที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ดีบีเอส กรุ๊ปเปิดเผยว่า บริษัทยังเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยและศักยภาพทางการตลาดของไทย โดยยืนยันว่า จะยังคงดำเนินธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง หลังจากที่มีการปรับโครงสร้างองค์กรเสร็จ ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุนผ่านการส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน พร้อมเปิดโอกาสให้เข้าถึงการลงทุนใหม่ๆด้วย
ทั้งนี้บริษัทมีสถานะที่มั่นคง ได้รับการยอมรับในฐานะธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 2.02 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ กำไรสุทธิ 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมี ROE 18% และยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลกจากการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2556 เข้าถึงตลาดทุนทั้งในสิงคโปร์และทั่วโลก โดยให้บริการ 19 ตลาดหุ้นทั่วโลกกับลูกค้ากว่า 12 ล้านราย ครอบคลุมทั้งลูกค้ารายย่อย ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งรวมถึงกลุ่มบริษัทต่างๆ
ดังนั้นบริษัทจึงต้องการนำความสำเร็จดังกล่าวเข้ามาบริการในไทย เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายบุคคลของไทยเข้าถึงตลาดโลกอย่างมั่นใจ เนื่องจากสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น โดยคาดว่าปี 2567 จำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีประมาณ 30% จึงมีความจำเป็นต้องวางแผนสำหรับการเกษียณอย่างยั่งยืน
โดยคาดว่า บริการบริหารความมั่งคั่ง(wealth management) จะเติบโตขึ้นมาก โดยมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมด (AUM) จะเติบโตราว 10% ต่อปีจากกลุ่มมั่งคั่ง (Affluent) ที่มีเงินฝากหรือเงินลงทุนตั้งแต่ 5-10 ล้านบาทขึ้นไปและกลุ่มผู้มีรายได้สูง(Mass Affluent) ที่มีเงินฝากและเงินลงทุนตั้งแต่ 1-5 ล้านบาท แต่ยังเป็นกลุ่มที่ยังได้รับบริการไม่ทั่วถึง
นอกจากนั้น นักลงทุนรายย่อยของไทยยังรอจังหวะการลงทุน เมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว เนื่องจากประชากรในกรุงเทพที่สามารถลงทุนได้ เช่นอายุเกิน 20 ปี คิดเป็น 80% ของประชากรทั้งหมด แต่ปัจจุบันมีการลงทุนเพียง 20% เท่านั้น และแม้นักลงทุนรายบุคคลจะมีสัดส่วนสูงถึง 47% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของตลาดในปี 2564 แต่ประเทศไทยมีนักลงทุนประมาณ 2 ล้านคนเท่านั้นที่ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์
“การพัฒนาทางเทคโนโลยีเปิดโอกาสในการนำเสนอโซลูชั่นดิจิทัล เพื่อการลงทุนที่สะดวก มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นอย่างดี โดยกว่า 70% ใช้ช่องทางการลงทุนผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ”นายซิมกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การให้บริการลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งและกลุ่มผู้มีรายได้สูง จะเน้นการลงทุนผ่านดิจิทัล โดยมี AI เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุน ซึ่งลูกค้าจะได้รับข้อมูลเชิงลึกด้านการลงทุนและการลงทุนที่ตรงกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของลูกค้าแต่ละราย เพื่อไม่ต้องลงทุนจากการคาดเดา ลูกค้าสามารถประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการลงทุนด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถตัดสินใจลงทุนและวางแผนเกษียณได้อย่างมั่นใจ
“เรามุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพและยกระดับการให้บริการในไทยในลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งและกลุ่มผู้มีรายได้สูง โดยภายในครึ่งหลังปี 2567 จะมีการนำเสนอบริการให้คำแนะนำการลงทุนที่ผสมผสานระหว่างบริการ โดยผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีหรือเรียกว่า Robo Advisor ภายใต้ชื่อ DBS digiPortfolio และบริการซื้อขายกองทุนรวม รวมถึงบริการการลงทุนแบบสม่ำเสมอ (DCA) ที่เน้นผลตอบแทนในระยะยาว”
ส่วนลูกค้ากลุ่มบริหารความมั่งคั่ง จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาการลงทุน (Relationship Manager) ทีมีประสบการณ์สูงเพื่อรองรับการให้บริการกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งสูงพิเศษ (Ultra High Net Worth)
นางสาวอีวี่ ยิน นี วี ผู้บริหารระดับสูง การวางแผนทางการเงิน และโซลูชั่นด้านความมั่งคั่ง ธนาคาร ดีบีเอส กล่าวว่า บริษัทจะนำเสนอบริการการลงทุนดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จในสิงคโปร์มาให้บริการในไทย ซึ่งใน 5 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มการให้คำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนด้วย AI มีผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านราย พบว่า มีผู้ใช้งานที่ให้บริการ NAV ของบริษัท สามารถบริหารจัดการทางการเงินได้มีประสิทธิภาพมากกว่าไม่ได้ใช้บริการ โดยช่วยให้กว่า 83% ประหยัดหรือได้รับผลตอบแทนมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มมากกว่า 4 เท่าและทำประกันมากกว่า 2 เท่า
ทั้งนี้ตามแผนกลยุทธดังกล่าว บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะเพิ่ม AUM ขึ้น 3 เท่า ใน 1-2 ปีข้างหน้า จาก AUM สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)ณ สิ้นปี 2566 จำนวน 1 แสนล้านบาท