"ระบบเทรดใหม่" เริ่มใช้แล้ว ซื้อ-ขาย "หุ้น" ดีอย่างไร

08 พ.ค. 2566 | 09:25 น.

"ระบบเทรดใหม่" เริ่มใช้แล้ววันนี้ (8 พ.ค. 66) โบรกชี้รูปแบบใหม่ช่วยให้คำสั่งซื้อ-ขาย "หุ้น" เร็วขึ้นถึง 5 เท่า รองรับธุรกรรมที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ตรวจจับการปั่นหุ้นได้ไวมากขึ้น

การปรับหลักเกณฑ์การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ "ระบบเทรดใหม่" ถือเป็นรูปแบบใหม่ที่เริ่มนำมาใช้ในวันนี้เป็นวันแรก (8 พ.ค. 66) ซึ่งรูปแบบใหม่ช่วยให้คำสั่ง ซื้อ-ขาย "หุ้น" เร็วขึ้นถึง 5 เท่า รองรับธุรกรรมที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ซ้ำยังตรวจจับพฤติกรรมการ "ซื้อ-ขายที่ผิดปกติ" ได้เร็วขึ้นอีกด้วย

ขณะที่การเพิ่มคำสั่งใหม่ในการ "ซื้อ-ขาย" ช่วยทำให้นักลงทุนมีเครื่องมือในการลงทุนที่ดีขึ้น เห็นข้อมูล และทิศทางราคาได้ชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้

สำหรับระบบการซื้อ-ขาย รูปแบบใหม่ (ระบบเทรดใหม่)

  • มีมาตรฐานการต่อเชื่อมที่เป็นมาตรฐานสากลทั้ง ITCH/OUCH Protocol และ FIX Standard Protocol ซึ่งใช้ในตลาดทุน และตลาดอนุพันธ์ชั้นนำทั่วโลก ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดการเข้าถึงโดยนักลงทุนจากตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น
  • โครงสร้างระบบซื้อขายใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและเป็นสากล ช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสามารถเพิ่มสินค้าได้หลากหลายตามที่มีการซื้อขายในตลาดต่างประเทศชั้นนำ
  • เพิ่มความละเอียดในการเผยแพร่ข้อมูลระดับราคา Bid/Offer ของหลักทรัพย์ในตลาด SET และ mai จาก 5 ระดับราคา เป็น 10 ระดับราคา เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ-ขาย ได้ดียิ่งขึ้น
  • เพิ่มความละเอียด Timestamp ของคำสั่งซื้อขายและเวลาที่เกิดการจับคู่ซื้อขายในระดับ Nanosecond เทียบเท่าตลาดต่างประเทศชั้นนำ
  • เพิ่มฟังก์ชันอำนวยความสะดวกให้กับบริษัทสมาชิก อาทิ Self-Match Prevention ช่วยป้องกันการจับคู่กันเองของคำสั่งซื้อขายจากลูกค้าราย/กลุ่มเดียวกัน และ Pre-Trade Risk Management เป็นทางเลือกเพิ่มเติมในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทสมาชิก

นอกจากการปรับการ ซื้อ-ขาย เป็น ระบบเทรดใหม่ แล้วทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้ ปรับปรุงเกณฑ์ ซื้อ-ขาย ให้สอดคล้องกับระบบการซื้อ-ขายใหม่อีกด้วย

ปรับเกณฑ์ซื้อ-ขายให้สอดคล้องกับระบบการซื้อ-ขายใหม่ของ SET ประกอบด้วย

1. ปรับการคำนวณราคาเปิด-ราคาปิด

  • การคำนวณยังเป็นไปตามหลักการเดิม คือระบบคำนวณด้วยวิธีจับคู่ซื้อขายในคราวเดียว (Auction)
  • โดยราคาเปิด-ปิดอาจอยู่นอกกรอบ Ceiling & Floor (C&F) ได้ แต่ไม่เกิน 1 ช่วงราคา (Tick)

2. ปรับ Ceiling & Floor ของหลักทรัพย์ -F ให้มี Ceiling & Floor +/-60% ของราคาอ้างอิงในทุกวิธีการซื้อขาย (เดิมกำหนด C&F +/-30% ของราคาอ้างอิง สำหรับการซื้อขายรายใหญ่หุ้น -F

3. ยกเลิกการซื้อขายหน่วยย่อย (Old Lot) ของ DW

4. ปรับประเภทคำสั่งซื้อขาย โดยเพิ่มคำสั่ง Good Till Cancel (GTC) และ Good Till Date (GTD), ปรับปรุง Iceberg Order 

5. เพิ่มเครื่องหมายห้ามการซื้อขาย P (Pause) โดยจะใช้กับหลักทรัพย์ที่ SET กำหนดให้เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ลงทุน สำหรับเครื่องหมาย P จะมาจากสาเหตุของพฤติกรรมการซื้อ-ขายหุ้นที่มีความผิดปกติ ซึ่งหุ้นที่ถูกขึ้น P จะถูกหยุดการซื้อ-ขายเป็นระยะเวลา 1 วัน

6. ปรับการแสดง Bid/Offer เป็น 10 ระดับราคา (ขึ้นอยู่กับการแสดงหน้าจอของแต่ละ Broker ด้วย) ข้อนี้ไม่กระทบเกณฑ์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม "ระบบเทรดใหม่" : คลิกที่นี่

ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับใช้ระบบซื้อ-ขายใหม่ (ระบบเทรดใหม่) ที่เริ่มวันนี้เป็นวันแรก (8 พ.ค. 66) ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

ขณะที่การปรับการแสดง Bid/Offer เป็น 10 ระดับราคา ถือเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน เนื่องจากช่วยให้นักลงทุน เห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนมากขึ้น

ส่วนการปรับประเภทคำสั่งซื้อขาย เช่น เพิ่มคำสั่ง Good Till Cancel (GTC) และ Good Till Date (GTD), ปรับปรุง Iceberg Order ถือเป็นการปรับคำสั่ง ในการซื้อขายทำให้นักลงทุนมีเครื่องมือที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ปรับการคำนวณ "ราคาเปิด-ราคาปิด" ที่ปรับรูปแบบ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความสมเหตุสมผล และทำให้การสร้างราคาหรือการปั่นราคาเป็นไปได้ยาก

อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับรูปแบบใหม่นั้น คงไม่มีผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งการปรับรูปแบบใหม่เชื่อว่าจะดีกว่ารูปแบบเก่าอย่างแน่นอน

เนื่องจากทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการสำรวจ และทดสอบระบบมาก่อนแล้ว ทำให้เชื่อว่าการใช้รูปแบบใหม่จะช่วยยกระดับ และเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า