Outlook กำไร Q1/66 "CONS-CONMAT-PROP" ใครรอด - ใครร่วง

16 เม.ย. 2566 | 02:09 น.

ASPS นำเสนอ Outlook ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 รายกลุ่มอุตสาหกรรม ใน 3 เซ็กเตอร์ คือ CONS-CONMAT-PROP พร้อมประเมินรายบริษัท เช็คเลย ใครรอด ใครร่วง

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส หรือ ASPS ได้นำเสนอ Outlook ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 รายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยแบ่งเนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ดังนี้

  • จันทร์ 10 เม.ย.66 กลุ่ม BANK + TOURISM
  • อังคาร 11 เม.ย.66 กลุ่ม ICT+ COMM
  • พุธ 12 เม.ย.66 กลุ่ม CONS + CONMAT + PROP
  • จันทร์17 เม.ย.66 กลุ่ม โรงไฟฟ้า
  • อังคาร 18 เม.ย.66 กลุ่ม AGRI + FOOD + FIN
  • พุธ 19 เม.ย.66 PETRO + ENERG 

อ่านเพิ่ม :  ASPS วิเคราะห์กำไร Q1/66 หุ้นกลุ่มแบงก์-ท่องเที่ยว เช็คหุ้นไหนเด่น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 66 เป็นคิวของกลุ่ม CONS + CONMAT + PROP โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้

 

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ให้น้ำหนักเท่าตลาด (+QoQ / -YoY)

งวดไตรมาส1/66 ถือเป็น High Season ของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จึงเห็นการฟื้นตัวของกำไรเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 4/65 (QoQ) จากปัจจัยด้านฤดูกาล แต่หากเทียบกับงวดไตรมา1/65 (YoY)  เชื่อว่าจะเห็นกำไรปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงของแทบทุกบริษัท โดยมี 2 ปัจจัยลบเข้ามากดดันได้แก่

  • 1. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถดถอยจากภาวะเงินเฟ้อ และ
  • 2. ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานทรงตัวในระดับสูง ทำให้ต้นทุนสินค้าในสต็อกทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามวัตถุดิบ lot ใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น โดยผู้ประกอบการไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาสินค้าได้ทั้งหมด

สำหรับบริษัทในกลุ่มปูนซีเมนต์ได้แก่ SCC และ TPIPL ยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติม จาก Spread ธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลงเทียบกับปีก่อน จึงน่าจะเห็นกำไรหดตัวลง 30-50%YoY เช่นเดียวกับบริษัทผลิตกระเบื้องอย่าง DCC ที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นเกษตรกรที่พึ่งพิงรายได้จากสินค้าเกษตร คาดกำไรหดตัวลงไม่ต่ำกว่า 30%YoY จากปัญหาต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาขายกระเบื้องที่ปรับตัวลดลง ส่วน DRT แม้จะมีการกระจายฐานรายได้ไปสู่หลากหลายช่องทางการตลาดทำให้ยอดขายยังเติบโตได้ 5-10%YoY แต่ก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น คาดจะ
เห็นกำไรอ่อนตัวลง 5-10%YoY

บริษัทในกลุ่มฯ ที่มีโอกาสเห็นกำไรเติบโตYoY ได้แก่ TASCO เพราะยังได้อานิสงส์จากการนำเข้า Feedstock ต้นทุนต่ำเข้ามาในเดือน พ.ย. 65 ทำให้แนวโน้ม margin น่าจะทำได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ให้น้ำหนักเท่าตลาด (+QoQ / +YoY)

การรับรู้รายได้ในงวดไตรมาส1/66 ของบริษัทรับเหมาฯ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเทียบกับไตรมาส 4/65 และไตรมาส1/65 ตามมูลค่า Backlog ในมือ และไม่มีปัญหาแรงงานขาดแคลนเหมือนปีก่อน อีกทั้งหลายบริษัทได้ผ่านการปรับประมาณการ Budget ก่อสร้างไปแล้วในงวด ไตรมาส 4/65 จนทำให้เกิดผลขาดทุนหนัก อย่างเช่น ITDNWR, SYNTEC จึงเชื่อว่าอัตรา gross margin โดยเฉลี่ยของกลุ่มรับเหมาฯ จะฟื้นตัวดีขึ้นเทียบกับไตรมาส 4/65 ( QoQ )

อย่างไรก็ตาม ในแง่ Bottom line ยังไม่โดดเด่นมากนัก เนื่องจากภาวะการแข่งขันด้านราคาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีค่อนข้างสูง ทำให้อัตรา gross margin โดยเฉลี่ยของกลุ่มยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ โดยบริษัทที่น่าจะทำกำไรเด่นในไตรมาส1/66 คือ STEC (ราคาพื้นฐาน 15.5 บาท ) มีโมเมนตัมของรายได้และ margin ดีต่อเนื่องมาตั้งแต่งวดไตรมาส 4/65 รวมไปถึงบริษัทเสาเข็มทั้ง SEAFCO และ PYLON ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตของเครื่องจักรสูงขึ้นมากในช่วงไตรมาส1/66 เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 4/65 โดยอีกบริษัทที่น่าจับตามองคือ TTCL เพราะเป็นไตรมาสแรกที่ TTCL ไม่ต้องสำรองค่าเผื่อหนี้สูญตาม TFRS9 ไตรมาสละ 69 ล้านบาท หลังต้องแบกรับภาระดังกล่าวตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่วน CK คาดกำไรยังไม่เด่น เนื่องจากฐานรายได้ก่อสร้างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการขยับขึ้น อีกทั้งเป็นไตรมาสที่ CK ไม่มีเงินปันผลรับจาก TTW และส่วนแบ่งกำไรจาก CKP อยู่ในระดับต่ำตามฤดูกาล แต่จะได้กระแสบวกจากการเซ็นสัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลวงพระบางมูลค่า 9.8 หมื่นล้านบาท ที่น่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน เม.ย นี้


กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้น้ำหนักเท่าตลาด (-QoQ / +YoY)

คาดการดำเนินงานงวดไตรมาส1/66 ของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯที่ฝ่ายวิจัยศึกษารวม 15 แห่งจะมีกำไรปกติลดลง QoQ แต่จะเพิ่มขึ้นได้ YoY โดยกำไรปกติที่ลดลงจากไตรมาส 4/65 เกิดจากผลของฤดูกาล เนื่องจากปกติไตรมาส 4 ของทุกปีเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงสุดของปี เกิดจากการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะแนวราบจำนวนมาก และคอนโดฯ ใหม่ส่วนใหญ่มีกำหนดสร้างเสร็จและโอนฯ ช่วงไตรมาสสุดท้าย มาผลักดันต่อยอดโอนฯ อยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาส 1/65  คาดกำไรปกติยังเติบโต YoY จากการโอนฯ ต่อเนื่องของคอนโดฯ ใหม่ที่สร้าง
เสร็จเมื่อปีก่อน และการมี Backlog แนวราบสิ้นปี 2565 ที่รอส่งมอบ ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ไตรมาส1/66 ที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้การดำเนินงานของธุรกิจอื่น และบริษัทร่วมที่เกี่ยวเนื่องกับการเปิดเมืองเช่น ค้าปลีก โรงแรม คาดฟื้นตัวดีขึ้นตามการท่องเที่ยวไทยที่มีแรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ

หากพิจารณาการดำเนินงานรายบริษัท พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ เช่น PSH, SC, SIRI, SPALI,ORI, BRI, LH, NOBLE, ASW และ SENA เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มฯ คือ กำไรลดลง QoQ แต่เพิ่มขึ้น YoY ขณะที่ AP, LALIN, LPN จะสวนทางกลุ่มฯ โดยประเมินกำไรเพิ่มขึ้น QoQ (แต่ลดลง YoY) เนื่องจาก AP มีการส่งมอบ 2 คอนโดฯ ใหม่ในไตรมาส 1/66 เทียบกับไตรมาส 4/65 ที่ไม่มีรับรู้รายได้จากคอนโดฯ ใหม่ และถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายเปิดโครงการใหม่ที่มีจำนวนมากช่วงปลายปี

สำหรับQH คาดกำไรลดลงYoYและ QoQ จากมาร์จิ้นขายลดลง เนื่องจากงวด 1Q65 รับรู้รายได้จากโครงการบ้านระดับบนที่มีมาร์จิ้นสูง ขณะที่ไตรมาส1/66 มียอดโอนฯ บ้านกลุ่มดังกล่าวน้อยลง นอกจากนี้การโอนฯ คอนโดฯ Q สุขุมวิทที่ลดลง (ส่วนใหญ่จะโอนฯไตรมาส 2/66 ) และส่วนแบ่งกำไรจาก HMPRO ที่ลดลง เป็นอีกเหตุที่ทำให้กำไรลดลง QoQ ส่วน ANAN คาดผลประกอบการยังอ่อนแอ และเป็นบริษัทเดียวที่มีผลขาดทุน  เนื่องจากการโอนส่วนใหญ่มาจากโครงการพร้อมอยู่เดิมที่ขายค่อนข้างช้า( ยอดขายไตรมาส1/66 ส่วนใหญ่เกิดกับโครงการใหม่ที่เปิดตัวไตรมาส 4/65 และยังสร้างไม่เสร็จ) ขณะที่การส่งมอบคอนโดฯ JV ใหม่ 1 โครงการ คือ IDEO จุฬา-สามย่าน เพิ่งเริ่มปลาย มี.ค. ทำให้ยอดโอนฯ โครงการใหม่ยังมีไม่มาก

โดยสรุปแม้ทิศทางการดำเนินงานกลุ่มฯไตรมาส1/66 ไม่เด่น เนื่องจากเป็นไตรมาสที่มีการเปิดโครงการใหม่น้อยสุดของปี ทำให้การขายโอนฯ ส่วนใหญ่คงมาจาก backlog ที่ยกมาต่อเนื่องจากปี 2565 แต่การจ่ายเงินปันผลหลังประกาศงบปี 2565 ของหลายบริษัทที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจเฉลี่ย 3-6% ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้น XD เดือน พ.ค.นี้ จะช่วยหนุนต่อราคาหุ้นระยะสั้น

โดยเลือกหุ้นเด่น พื้นฐานดี และ ปันผลจูงใจ ได้แก่ AP (ราคาพื้นฐาน 15.50 บาท ) , SC (ราคาพื้นฐาน 5.10 บาท ) และ ORI ( ราคาพื้นฐาน 13.15 บาท )