นายอานนท์ วังวสุ ประธานกรรมการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด และ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ประกันภัยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ในปัจจุบันว่า ผ่านรายการ “ฐานทอล์ค” ช่องเนชั่นทีวี22ว่า แม้จะมีบริษัทขนาดใหญ่เพียง 3-4 แห่งที่ยังคงรับประกันอยู่ แต่ภาพรวมของตลาดประกันภัยรถ EV กำลังเผชิญกับวิกฤตการขาดทุน เนื่องจากมีอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ที่สูงมากถึง 80-90% ซึ่งสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไปที่มีอัตราความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60%
นายอานนท์กล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณรถ EV ที่มีประกันภัยภาคสมัครใจอยู่ในระบบมีประมาณ 300,000 คัน แต่แนวโน้มการเติบโตของรถ EV กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคิดเป็นประมาณ 25% ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งในประเทศ และคาดว่าจะขยายตัวเป็น 30-40% ในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าปัญหาในวันนี้จะยังไม่ใหญ่ แต่คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ปริมาณรถ EV จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทประกันหลายแห่งไม่รับ หรือถอนตัวจากการรับประกันรถ EV คือปัญหาค่าซ่อมบำรุงที่ไม่คุ้มค่า ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย
โดยในปีแรกของการใช้งานรถ EV พบว่าความถี่ในการเกิดเหตุจะสูงกว่ารถทั่วไป เนื่องจากผู้ขับขี่ไม่คุ้นเคยกับกำลังที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วของรถ EV ทำให้เกิดการเร่งหรือชะลอตัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าความเสียหายสิ้นเชิง (Total Loss) เช่น การเปลี่ยนแบตเตอรี่ (ซึ่งคิดเป็น 70-80% ของราคารถ) จะมีสัดส่วนไม่มากนัก คือไม่เกิน 10% ของความเสียหายทั้งหมด แต่ปัญหาใหญ่คือ ค่าชิ้นส่วนอะไหล่ทั่วไป ที่มีราคาสูงมาก เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในรถ EV เป็นเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ (ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์)
ซึ่งผู้จำหน่ายรถยนต์เป็นผู้กำหนดราคาอะไหล่โดยอิสระ เนื่องจากอู่ภายนอกยังไม่มีศักยภาพในการซ่อม หรือหากซ่อมอาจทำให้เสียประกัน/วารันตี (Warranty) การที่บริษัทจำหน่ายรถมีความเป็นอิสระในการกำหนดราคาค่อนข้างสูงนี้ ส่งผลให้ค่าซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่แพงมาก
นอกจากนี้ ปัญหาการแข่งขันด้านราคาของรถ EV ในตลาด ทำให้ราคาขายลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น จากราคา 1.2 ล้านบาท เหลือ 700,000 บาท แต่เนื่องจากค่าซ่อม (ซึ่งไม่ใช่ความเสียหายสิ้นเชิง) ยังคงเดิม บริษัทประกันจึงยังต้องตึงราคาเบี้ยประกันไว้ตามการคำนวณของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ส่งผลให้เบี้ยประกันเมื่อเทียบกับทุนประกันที่ลดลงในแต่ละปี ดูเหมือนแพงขึ้นในความรู้สึกของผู้บริโภค
นายอานนท์เน้นย้ำว่า ในขณะที่บริษัทประกันสามารถปรับตัวได้เร็วด้วยการขึ้นเบี้ยหากตัวเลขขาดทุนชัดเจน แต่ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชน ที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น ทางสมาคมฯ ได้มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อย่างใกล้ชิด และกำลังร่วมกันกำหนดอัตราเบี้ยประกันรถ EV ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ทาง คปภ. และสมาคมฯ อาจจะต้องออกตัวเลขความเสียหายที่เป็นภาพรวมของตลาด เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงให้บริษัทประกันภัย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องราคาอะไหล่ นายอานนท์เห็นว่าภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรม อาจจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องราคาค่าอะไหล่รถยนต์ EV ให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น เนื่องจากเป็นอำนาจของหน่วยงานราชการที่จะสามารถควบคุมในส่วนนี้ได้ และหากไม่ดำเนินการแก้ไขในส่วนนี้ สุดท้ายผู้บริโภคก็จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยในราคาสูงต่อไป