KBANK กำไร 9 เดือนแตะ 3.9 หมื่นล้านเพิ่ม 1.16% เหตุรายได้ดอกเบี้ยลด

21 ต.ค. 2568 | 08:12 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 08:12 น.

ธนาคารกสิกรไทยประกาศกำไรสุทธิ 9 เดือนปี68 จำนวน 39,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 452 ล้านบาท หรือ 1.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 เหตุรายได้ดอกเบี้ยลดลง ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง 

ธนาคาร กสิกรไทยและบริษัทย่อย (KBANK) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 13,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.79% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เมื่อรวมงวด 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิ 39,287 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 1.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 38,835 ล้านบาท 

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยแรงกดดันหลักมาจากภาคต่างประเทศและปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ

ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการแข่งขันที่รุนแรง 

ขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนอื่นๆ ก็ไม่ได้เต็มกำลัง ภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เนื่องจากภาวะการแข่งขันและความเชื่อมั่น และการบริโภคภาคเอกชนยังคงอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหา หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยตรง 

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย

สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 ธนาคารยังคงมองภาพเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง โดยคาดว่า การเติบโตจะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อการส่งออกยังคงมีอยู่ บรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา

คาดการณ์ว่าเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐจะมีจำกัดและอาจส่งผลได้เพียงบางส่วนเท่านั้น สถานการณ์เหล่านี้บีบให้ธนาคารต้องดำเนินกลยุทธ์อย่างรัดกุมที่สุด

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายที่รายได้หลักของธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญ ธนาคารกสิกรไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับโครงสร้างรายได้เพื่อชดเชยส่วนที่หายไป รายได้จากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯและภาษีลดลง 2.80%

โดยหลักๆ มาจากการหดตัวของ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงถึง 6.94% ทั้งจากภาวะอัตราดอกเบี้ยและการที่ธนาคารดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อแบ่งเบาภาระและเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่ลูกค้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ส่งผลให้ Net Interest Margin (NIM) ลดลงอยู่ที่ 3.31% 

อย่างไรก็ดี ผลกระทบนี้ถูกบรรเทาด้วยการเติบโตอย่างโดดเด่นของ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึง 13.80% มาจากปัจจัยสำคัญหลายส่วนทั้ง การขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ โดยเฉพาะจากการบริหารจัดการกองทุนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด 

รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้จากการลงทุนที่ได้ประโยชน์จากภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย การปรับตัวครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ “3+1” ของธนาคารในการสร้างความหลากหลายของแหล่งรายได้และการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มเริ่มให้ผลที่ชัดเจนขึ้น 

นอกจากการสร้างรายได้แล้ว การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ธนาคารรักษาผลกำไรสุทธิไว้ได้ โดย ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลง 0.22% แม้จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการดูแลพนักงานเพิ่มเติมในไตรมาส 3 การจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.07% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  

ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักความระมัดระวังในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) 30,047 ล้านบาท แม้จะลดลง 14.17% แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่รอบคอบและเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวนสูง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (%NPL gross) อยู่ที่ 3.19% 

ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 166.43% ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของเงินสำรองที่สามารถรองรับความไม่แน่นอนในอนาคตได้เป็นอย่างดี เสริมด้วย อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ที่ 21.60% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคงตามหลักเกณฑ์ Basel III

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,142 วันที่ 23 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568