อุตสาหกรรมการเงินอิสลามทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวไปสู่การเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินหลัก(From Niche to Norm) โดยสินทรัพย์การเงินอิสลามทั่วโลก ณ ปี 2567 คาดว่า จะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่า จะขยายตัวถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 โดยที่ธนาคารอิสลาม (Islamic Banking) ยังคงเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของสินทรัพย์ทั้งหมด
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือ ไอแบงก์มีบทบาทสำคัญในฐานะธนาคารของรัฐในการให้บริการแก่พี่น้องมุสลิม โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติให้ไอแบงก์สามารถแสวงหาพันธมิตรร่วมทุนทั้งในและต่างประเทศได้ โดยที่กระทรวงการคลังยังคงถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 10% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว
นายทวิลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการ ไอแบงก์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางการดำเนินงานของธนาคารว่า ไอแบงก์กำลังก้าวเข้าสู่ “เวฟที่ 3” หลังจากก่อตั้งธนาคารมาแล้ว 22 ปี ซึ่งธนาคารเผชิญความท้าทายมาอย่างต่อเนื่อง
โดยมีกลยุทธ์ที่สำคัญ 3 ด้านหลัก ที่จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการวางรากฐาน เพื่อการฟื้นฟูและเติบโต ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายใน 2-3 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ธนาคารจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเหมือนกับหลายสถาบัน แต่ก็ยังเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ หากเข้าใจลูกค้าที่แสวงหาโอกาสในการส่งออก เช่น ธุรกิจฮาลาลและอาหาร ไอแบงก์มีจุดแข็งในห่วงโซ่ฮาลาลบางส่วน โดยเฉพาะด้านเกษตรและอาจถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ไม่น้อย
นายทวิลาภเน้นย้ำว่า กำไรไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดทั้งหมด แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถเก็บไว้เป็นทุน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความยั่งยืน (Sustainability) โดยไม่ต้องการให้กำไรของธนาคารอยู่ในรูปแบบขึ้นๆ ลงๆ (fluctuating) แต่ต้องการให้มีเสถียรภาพ (steady) ซึ่งต้องมาจากแหล่งรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน
ส่วนความคืบหน้าในการหาพันธมิตรร่วมทุน นายทวิลาภกล่าวว่า การหาพันธมิตรถูกกำหนดมาตั้งแต่สมัยเวฟที่ 2 โดยมีเงื่อนไขจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นคือ ผู้ที่เข้ามาต้องทำให้ธนาคารแข็งแรงขึ้น ต้องตอบโจทย์ของภาครัฐ และผู้ที่เข้ามาจะต้องสามารถเสริมความแข็งแรงใน 3 ด้านหลักของธนาคารได้
ธนาคารมีหน้าที่ทำตัวเองให้มีคุณค่าหรือ “สวยงาม” เพื่อดึงดูดนักลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการเจรจาและมีการเจรจากับผู้ที่สนใจมากกว่า 1 ราย โดยรูปแบบการเข้ามาลงทุนจะต้องเป็นการออกหุ้นหรือเพิ่มทุนให้กับพันธมิตร เพื่อให้เงินกองทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินกองทุนของธนาคารปัจจุบัน อยู่ในสถานะที่เรียกว่า “ซีโร่”(zero) เพราะอยู่ภายใต้เงื่อนไขการผ่อนผัน
ขณะที่เกณฑ์เงินกองทุนขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่สถาบันการเงินจะต้องมีคือ 8.5% แต่เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัยก็ควรมามากกว่านั้น เพราะสินทรัพย์เสี่ยงของไอแบงก์มีประมาณ 70,000 กว่าล้านบาท หากมีการเพิ่มทุน จะช่วยให้สัดส่วนเงินกองทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายทวิลาภกล่าวทิ้งท้ายว่า ไอแบงก์กำลังหารือกับหน่วยงานของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับนโยบายการบริหารหนี้เสียผ่าน AMC ซึ่งไอแบงก์เคยมี AMC เพื่อดึง NPF ออกไป แต่ AMC นั้น กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 100% ไม่ใช่ของไอแบงก์ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมกับ AMC ใหม่ จึงเป็นดุลยพินิจของกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568