ไอแบงก์เข้าสู่ 'เวฟ3' ชู 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน เชื่อมการเงินอิสลามโลก

09 ต.ค. 2568 | 22:15 น.

ไอแบงก์เดินหน้า “เวฟ3” ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ชู 3กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนและความเข้มแข็งองค์กร ยกระดับการเงินอิสลามโลก เร่งเจรจาหาผู้ร่วมทุน หวังเพิ่มเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า 8.5% ตามกฎหมาย 

อุตสาหกรรมการเงินอิสลามทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวไปสู่การเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินหลัก(From Niche to Norm) โดยสินทรัพย์การเงินอิสลามทั่วโลก ณ ปี 2567 คาดว่า จะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่า จะขยายตัวถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571  โดยที่ธนาคารอิสลาม (Islamic Banking) ยังคงเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของสินทรัพย์ทั้งหมด 

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือ ไอแบงก์มีบทบาทสำคัญในฐานะธนาคารของรัฐในการให้บริการแก่พี่น้องมุสลิม โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติให้ไอแบงก์สามารถแสวงหาพันธมิตรร่วมทุนทั้งในและต่างประเทศได้ โดยที่กระทรวงการคลังยังคงถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 10% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

นายทวิลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการ ไอแบงก์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางการดำเนินงานของธนาคารว่า ไอแบงก์กำลังก้าวเข้าสู่ “เวฟที่ 3” หลังจากก่อตั้งธนาคารมาแล้ว 22 ปี ซึ่งธนาคารเผชิญความท้าทายมาอย่างต่อเนื่อง

ไอแบงก์เข้าสู่ \'เวฟ3\' ชู 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน เชื่อมการเงินอิสลามโลก

  • เวฟที่ 1 คือช่วง 10 ปีแรก เป็นช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้ง จึงใช้เวลาในการสร้างระบบและบุคลากร 
  • เวฟที่ 2 ช่วง 10-20 ปี เป็นช่วงของการปรับตัวและการแก้ปัญหาที่สำคัญ โดยมีการนำหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) ออกไปที่บริษัทสินทรัพย์(AMC) ธนาคารอิสลาม และพยายามจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อฟื้นฟูธนาคาร 
  • ปัจจุบัน เป็นเวฟที่ 3 เป็นช่วงของการปรับโครงสร้างพื้นฐานและการมองหาแนวทางที่ธนาคารจะสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

โดยมีกลยุทธ์ที่สำคัญ 3 ด้านหลัก ที่จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการวางรากฐาน เพื่อการฟื้นฟูและเติบโต ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายใน 2-3 ปี 

  1. เน้นความเป็นธนาคารอิสลามและความเชื่อมโยงระดับโลก คือ ทำให้ความชัดเจนของความเป็นธนาคารอิสลามมีมากขึ้น เนื่องจากยังมีโอกาสในการเชื่อมโยงกับการเงินอิสลามทั่วโลกที่เติบโตขึ้นทุกขณะ ตัวอย่าง เช่น ธนาคารอิสลามในมาเลเซียและอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่กว่า ไอแบงก์ถึง 20 เท่า ดังนั้น หากธนาคารสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับระบบ(system) หรือห่วงโซ่ของการเงินอิสลามในระดับประเทศและระดับโลกได้ จะทำให้ธนาคารมีศักยภาพมากขึ้น 
  2. ให้ความสำคัญกับพื้นที่เป้าหมาย คือ ให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่ธนาคารมีความหมายและมีตัวตน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งยังคงมีโจทย์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต้องทำ อย่างไรก็ตาม ภาคใต้มีศักยภาพในการเติบโตและความหลากหลายทางเศรษฐกิจ (diversification) ตั้งแต่ภูเก็ต หาดใหญ่ ไปจนถึงสุราษฎร์ธานี ซึ่งธนาคารถือว่า ตนเองเป็น “แบงค์คนใต้” โดยรากฐาน จึงควรใช้ความสามารถในการสื่อสารและสร้างคุณค่าให้กับคนในพื้นที่ 
  3. การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์กรภายใน (Transformation) มีการทำเรื่องเทคโนโลยีและปรับองค์กร โดยธนาคารสามารถนำ mobile banking ขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น แม้จะเป็นธนาคารท้ายๆ ในระบบ แต่ก็ใช้ความร่วมมือกับทีมที่มีความแข็งแรง และมีการทำงานร่วมกับคนที่มีความสามารถ เช่น JTB 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ธนาคารจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเหมือนกับหลายสถาบัน แต่ก็ยังเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ หากเข้าใจลูกค้าที่แสวงหาโอกาสในการส่งออก เช่น ธุรกิจฮาลาลและอาหาร ไอแบงก์มีจุดแข็งในห่วงโซ่ฮาลาลบางส่วน โดยเฉพาะด้านเกษตรและอาจถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ไม่น้อย 

นายทวิลาภเน้นย้ำว่า กำไรไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดทั้งหมด แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถเก็บไว้เป็นทุน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความยั่งยืน (Sustainability) โดยไม่ต้องการให้กำไรของธนาคารอยู่ในรูปแบบขึ้นๆ ลงๆ (fluctuating) แต่ต้องการให้มีเสถียรภาพ (steady) ซึ่งต้องมาจากแหล่งรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน  

ส่วนความคืบหน้าในการหาพันธมิตรร่วมทุน นายทวิลาภกล่าวว่า การหาพันธมิตรถูกกำหนดมาตั้งแต่สมัยเวฟที่ 2  โดยมีเงื่อนไขจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นคือ ผู้ที่เข้ามาต้องทำให้ธนาคารแข็งแรงขึ้น ต้องตอบโจทย์ของภาครัฐ และผู้ที่เข้ามาจะต้องสามารถเสริมความแข็งแรงใน 3 ด้านหลักของธนาคารได้ 

ธนาคารมีหน้าที่ทำตัวเองให้มีคุณค่าหรือ “สวยงาม” เพื่อดึงดูดนักลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการเจรจาและมีการเจรจากับผู้ที่สนใจมากกว่า 1 ราย โดยรูปแบบการเข้ามาลงทุนจะต้องเป็นการออกหุ้นหรือเพิ่มทุนให้กับพันธมิตร เพื่อให้เงินกองทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินกองทุนของธนาคารปัจจุบัน อยู่ในสถานะที่เรียกว่า “ซีโร่”(zero) เพราะอยู่ภายใต้เงื่อนไขการผ่อนผัน  

ขณะที่เกณฑ์เงินกองทุนขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่สถาบันการเงินจะต้องมีคือ 8.5%  แต่เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัยก็ควรมามากกว่านั้น เพราะสินทรัพย์เสี่ยงของไอแบงก์มีประมาณ 70,000 กว่าล้านบาท หากมีการเพิ่มทุน จะช่วยให้สัดส่วนเงินกองทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

นายทวิลาภกล่าวทิ้งท้ายว่า ไอแบงก์กำลังหารือกับหน่วยงานของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับนโยบายการบริหารหนี้เสียผ่าน AMC ซึ่งไอแบงก์เคยมี AMC เพื่อดึง NPF ออกไป แต่ AMC นั้น กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 100% ไม่ใช่ของไอแบงก์ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมกับ AMC ใหม่ จึงเป็นดุลยพินิจของกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568