ธนาคารไทยพาณิชย์กำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับพลวัตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปและการปฏิวัติทางเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุน การนำ AI และข้อมูลมาใช้ในการดำเนินงาน การปรับขนาดองค์กรและเครือข่ายสาขา
รวมถึงการปรับสมดุลพอร์ตธุรกิจเพื่อเป็นสถาบันการเงินที่เข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต พร้อมทั้งบริหารจัดการความเสี่ยงจากหนี้เสียและจับตานโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB เปิดเผยถึงแผนธุรกิจธนาคารปี 2568 ภายใต้ Towards Future Proof Banking ว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งความไม่แน่นอนของการแบ่งขั้วเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เปราะบางของผู้บริโภคและเศรษฐกิจในประเทศ จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการแข่งขันในธุรกิจธนาคาร โดยเฉพาะการมาของ Virtual Bank
ธนาคารต้องเตรียมพร้อมรับมือการการเปลี่ยนที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่ามกลางความก้าวหน้าของ AI ซึ่งธนาคารที่สามารถนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เร็วขึ้น ก็จะสามารถทำให้ธุรกิจก้าวกระโดดได้
รวมถึงเรื่อง Open Banking ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีโมเดลทางธุรกิจที่ต่างจากแบงก์เข้ามามากขึ้น อาจเห็นธนาคารจับมือกับพันธมิตรใหม่ หรือหันไปทำธุรกิจอื่นๆ ที่ต่างจากแบงก์ในปัจจุบันมากขึ้น
“ในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ธนาคารต้องทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องมีความชัดเจนในเป้าหมายที่เราจะไป ต้องเลือกทำในสิ่งที่เราเข้มแข็ง สิ่งเหล่านี้ จึงนำมาสู่ 3 กลยุทธ์หรือโจทย์ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่จะมุ่งเน้นในอนาคต”
1.เสริมสร้างธุรกิจหลักให้เข้มแข็ง ซึ่งจุดแข็งของไทยพาณิชย์มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ ธุรกิจลูกค้าสถาบัน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางและธุรกิจลูกค้ารายย่อย ที่ตอบโจทย์เรื่องการบริหารความมั่งคั่ง ไปสู่อนาคต
“สองเรื่องนี้จะเป็นสองเรื่องหลักที่ไทยพาณิชย์จะทุ่มสรรพกำลัง โดยไม่วอกแวก จะไม่ไปทำ 100 อย่าง แต่จะทำแค่ 2 อย่างนี้ เพื่อทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์มีจุดเด่นที่มีความสำคัญ”
2.ปรับโครงสร้างและลดขนาดองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภายใต้เป้าหมายที่ต้องการให้ไทยพาณิชย์มี ROE สองหลักและมี Cost to Income ใกล้เคียง 30% ให้ได้มากที่สุด และให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ ที่ต้องการเน้นธุรกิจสินเชื่อลูกค้าสถาบันและธุรกิจรายย่อยที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบ Wealth Management
สำหรับการลดขนาดองค์กร ปัจจุบันธนาคารมีพนักงานที่ประมาณ 18,000-19,000 คนเป้าหมายคือ จะลดจำนวนพนักงานลงสู่ระดับ "หลักหมื่นกลาง" และอาจถึง "หลักหมื่นต้น" ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
“การปรับลดพนักงานจะต้องดำเนินการอย่างยุติธรรม โปร่งใสและเหมาะสม โดยจะเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีความสามารถและพร้อมปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งงานที่ต้องปรับลดส่วนใหญ่คืองานที่ AI และเทคโนโลยีสามารถเข้ามาทดแทนได้ หรืองานที่ไม่มีประสิทธิภาพ”
จำนวนพนักงานที่จะปรับลดลงเท่าไหร่นั้น ต้องขึ้นกับจำนวนสาขาที่เหมาะสมด้วยว่า ที่สุดแล้วควรเหลือเท่าไหร่ ปัจจุบันไทยพาณิชย์มีสาขาประมาณ 651 แห่ง (รวม Express 31 แห่ง) และจะมีการทยอยปิดเพิ่มขึ้น เป้าหมายคือลดเหลือประมาณ 500 กว่าสาขาในอนาคต
นายกฤษณ์กล่าวย้ำว่า การลดจำนวนสาขา ไม่ได้มุ่งเน้นที่จำนวนอย่างเดียวว่า แต่จะดูรูปแบบ"รูปแบบ" และ "กิจกรรม" ที่เกิดขึ้นในสาขาด้วย เพราะบางสาขาเมื่อหักต้นทุนแล้วยังมีกำไร ในอนาคตจะเปลี่ยนจากการทำธุรกรรมทั่วไปไปสู่การให้คำแนะนำและบริการที่ซับซ้อนมากขึ้น
โดยใช้ AI และ Virtual Agent เข้ามาช่วย การโอนย้ายลูกค้าที่ยังคุ้นเคยกับการใช้สาขาไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การบังคับ
ดังนั้น งบลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่ง Core Banking System ใหม่ของธนาคารจะเริ่มทดสอบบางส่วนในปีนี้, Data Platform ใหม่ และการนำ AI มาใช้ในด้านต่างๆ
อย่างไรก็ตาม AI มีบทบาทสำคัญในการรวบรวม สรุปข้อมูล การทำพรีเซนเทชั่น และการวางแผน เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ลดงานที่ต้องทำด้วยคน งานที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบโดยตรงคืองานที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น การเก็บเอกสาร ตรวจสอบเอกสาร และเก็บข้อมูล
งานที่ยังต้องใช้คนและความเข้าใจ โดยเฉพาะการวางแผนการเงิน ยังคงเป็นบทบาทสำคัญของมนุษย์ และ AI ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้ามาแทนที่ได้ทั้งหมด
นายกฤษณ์กล่าวย้ำว่า ธนาคารไทยพาณิชย์จะยังคงเป็นสถาบันการเงิน แต่จะปรับกลยุทธ์ให้เข้าใจจังหวะชีวิตของลูกค้ามากขึ้น นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการนอกเหนือจากด้านการเงิน และใช้ดิจิทัลเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้ามากขึ้น
โดยจะมุ่งเป้าไปที่การปรับสมดุลระหว่างลูกค้า Consumer Bank และลูกค้าธุรกิจ (Wholesale/SME)ในสัดส่วนประมาณ 60:40 หรืออาจจะ 50:50 โดยเน้นที่รายได้ต่างๆ ไม่ใช่แค่สินเชื่อ
กลยุทธ์สุดท้ายคือ การปรับกระบวนการวัดผลและการบริหารจัดการความสำเร็จให้รวดเร็วและชัดเจน โดยเฉพาะการบริหารจัดการความสำเร็จหรือการวัดผลเป้าหมายก็จะเปลี่ยนไป จากเดิมที่มีการประเมินผลเป็นรายปีหรือรายครึ่งปี ต่อไปจะดูความคืบหน้าการทำงานเป็นรายเดือนหรืออย่างช้าคือรายไตรมาส เพราะเศรษฐกิจและโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
นายกฤษณ์กล่าวถึงแนวโน้มหนี้เสียหรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ว่า ยอมรับว่า เอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และลูกค้ารายย่อย เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และลูกหนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
“ธนาคารทุกแห่งรวมถึงไทยพาณิชย์กำลังเฝ้าระวังและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกค้า ยืนยันว่า ไม่มีธนาคารไหนต้องการยึดทรัพย์ของลูกค้ามาเป็นของธนาคารแน่นอน เพราะจะมีภาระค่าใช้จ่ายตามมา”
สำหรับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่และอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ นายกฤษณ์กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญ 3 ประการจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้คือ ความเชื่อมั่น การสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เปรียบเสมือนการติดกระดุมเม็ดแรกที่จะนำพาประเทศผ่านความท้าทายไปได้ หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
รองลงมาคือ ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้ตรงจุดยังเป็นเรื่องจำเป็น การออกนโยบายการเงินและการคลังที่สอดคล้องกันอย่างรวดเร็ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว
สุดท้ายคือ การการสร้างความเข้มแข็งให้ SME และคนกลางๆ ในระบบเศรษฐกิจ การกลับมาพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SMEs เป็นอีกโจทย์ที่สำคัญ เพื่อให้พวกเขากลับมาดำเนินธุรกิจได้