สภาพคล่องท่วมแบงก์ งดระดมทุน กดดอกเบี้ยเงินฝากต่ำยาว

29 ส.ค. 2568 | 08:32 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2568 | 08:40 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้สภาพคล่องแบงก์สูงกว่าเกณฑ์ธปท.เท่าตัว ประเมินปีนี้อาจไม่เห็นระดมเงินฝากเน้นออกโปรดักต์รักษาฐานลูกค้า จับตาดอกเบี้ยขาลง กดเงินฝากประจำ ปรับลดคาดทั้งปี เงินฝากโต 0.9% สวนทางสินเชื่อหดตัว 0.6%

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2/2568 แม้จะหดตัวชะลอลงที่0.9% จากไตรมาสแรกปี 2568 ที่หดตัวถึง 1.3% แต่ถือเป็นสินเชื่อที่ติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 ที่หดตัวถึง2.0%และไตรมาส4 ปี 2567 หดตัว0.4% 

การหดตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ถือเป็นระยะเวลานานพอสมควรและคาดว่า แนวโน้มจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาส3 ปี 2568 ขณะไตรมาส 4/2568 อาจจะต้องรอติดตามสถานการณ์หากมีแรงส่ง สินเชื่อสามารถปรับตัวเป็นบวกได้

ทั้งนี้ หากดูไส้ในพบว่า ไตรมาส 2/68สินเชื่อธุรกิจหดตัว 0.1% โดยที่สินเชื่อขนาดใหญ่ขยายตัวได้ 2.7% ทั้งภาคการผลิตและบริการ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกที่ยังขยายตัว

ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี หดตัว6.2% จากไตรมาสก่อนหดตัว 6.0%เป็นการหดตัวทุกเซ็กเตอร์ จะเห็นธนาคารให้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่ยังคงปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าเดิมและมีหลักประกัน ส่วนลูกค้าใหม่จะเข้าถึงสินเชื่อยาก และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวเกือบทุกประเภทสินเชื่อ 

สภาพคล่องท่วมแบงก์ งดระดมทุน กดดอกเบี้ยเงินฝากต่ำยาว

ขณะที่การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ เพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 204.8% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วอยู่ที่ 194.92% ส่วนยอดคงค้างสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์มีจำนวน 5.94 ล้านล้านบาทเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 5.43 ล้านล้านบาท

สะท้อนการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ 5.17 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.5% และเมื่อเทียบปริมาณกระแสเงินสดไหลออกสุทธิภายในระยะเวลา 30วัน มีจำนวน 2.90 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.18 แสนล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 4.2% จาก 2.78 ล้านล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน 

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงอยู่ในระดับสูง หากดูจาก LCR Ratio สูงเกินเกณฑ์ที่ธปท.กำหนดให้ต้องดำรงไว้ที่ระดับ100% 

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ส่วนมาตรวัดสภาพคล่องด้านเงินฝาก ก็ไม่ได้สะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์จะแข่งขันระดมเงินฝาก ด้านสินเชื่อแม้จะมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ ขณะเดียวกันมีการจ่ายชำระคืนหนี้ จึงเห็นสินเชื่อติดลบในหลายไตรมาส โดยที่สินเชื่อไม่ได้เร่งตัวและด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวระดับเดียวจึงกระทบการเบิกใช้สินเชื่อเช่นกัน

สำหรับด้านเงินฝากไตรมาสสองที่ผ่านมาในปีนี้เติบโต 1.0%จากไตรมาสแรกที่เติบโต 0.8% โดยมียอดคงค้างเงินรับฝากอยู่ที่ 16.14ล้านล้านบาท จาก 16.21ล้านล้านบาทณ ไตรมาสแรกของปีนี้ 

ในทางกลับกันสินเชื่อไตรมาส2/68 ติดลบ 0.8% จากไตรมาส 1 ที่ติดลบ 1.3% สะท้อนการติดลบน้อยลง โดยยอดคงค้างสินเชื่อไตรมาส2 อยู่ที่ 14.58 จากไตรมาสแรก14.63 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก(L/D) อยู่ที่ 90.2% จาก 90.9% ในไตรมาสแรกปี 2568 

ทั้งนี้ เงินฝากที่ขยับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นไตรมาสที่ 2 มีความไม่แน่นอนในตลาดสินทรัพย์ จึงมีการโยกเงินส่วนหนึ่งมาจากกองทุนเพื่อมาพักในบัญชีเงินฝาก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเดือนต่อเดือน พบว่า เดือนพฤษภาคม เงินฝากปรับลดลงจากเดือนเมษายน ซึ่งสะท้อนการย่อลงของเงินฝากโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่หากเทียบเงินฝากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ยังสะท้อนการเติบโตขึ้นของเงินฝากโดยรวม 

“พอร์ตเงินฝากยังเติบโต สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากหรือ L/D อยู่ในระดับชะลอลงเมื่อเทียบจากสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งแบงก์มีสภาพคล่องที่เพียงพอในการดำเนินงาน โดยระยะหลังจากปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังเต็มแบงก์ อาจทำให้ Credit Cost ของลูกหนี้ไม่ปรับลดลง แบงก์จึงต้องพิจารณาความเสี่ยง Credit ของลูกหนี้” 

ดร.กาญจนากล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ปีนี้อาจไม่เห็นการระดมเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ แต่ลักษณะจะเน้นการรักษาฐานลูกค้าและปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงตามทิศทางดอกเบี้ย “ขาลง”

ดังนั้นช่วงที่เหลืออาจจะเห็นผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ที่จะออกมาสำหรับลูกค้าที่ครบกำหนด เพื่อให้เป็นตัวเลือก และคาดว่า เงินฝากทั้งปียังเติบโตได้ที่ 0.9% แต่ด้านสินเชื่อแนวโน้มมีโอกาสเห็นตัวเลขติดลบประมาณ 0.6% 

“ถามว่า การส่งผ่านนโยบายการเงินจะส่งผลกระตุ้นสินเชื่อในช่วงที่เหลือหรือไม่นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเราให้น้ำหนักเรื่องการส่งผ่านในระดับหนึ่ง แต่ผลต่อการกระตุ้นสินเชื่อในขณะนี้อาจยังไม่เห็นในลักษณะ 1 :1 เพราะ Credit Costยังอยู่ในระดับสูง” 

อย่างไรก็ตาม ผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงลงถึง 0.25% เท่ากันทั้ง 3 ประเภท (MLR, MRR, MOR) หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปที่ระดับ 1.50% ในการประชุมรอบล่าสุดเมื่อ 13 สิงหาคม 2568 นั้น จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อยปรับลดลงรวมกันประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาท

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,126 วันที่ 28 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568