เศรษฐกิจไทยอ่วม กรุงศรีฯ คาดจีดีพีโต 1.5% หากโดนเก็บภาษี 36%

05 ก.ค. 2568 | 08:37 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ค. 2568 | 08:38 น.

กรุงศรีเผยปี 68 เศรษฐกิจโลกผันผวนสูงจากมาตรการภาษีสหรัฐ คาดหากไทยโดนเก็บ 36% จีดีพีเหลือโตเพียง 1.5% แถมยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว จากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง 87.4%ของ GDP

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยาเปิดเผยว่า เศรษฐกิจเข้าสู่ครึ่งปีหลังแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจโลกปีนี้มีความผันผวนที่สูงอย่างต่อเนื่อง หากมองภาพรวมจะเห็นแต่คำว่า “ชะลอ” ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกเกือบทุกประเทศเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา จากมาตรการภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff 

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา

“ก่อนเกิดโควิด-19 เศรษฐกิจโลกเคยเติบโตได้ประมาณ 3.6-3.7% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของประเทศไทย แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกลับเติบโตช้าลง”ดร.พิมพ์นารากล่าว

ทั้งนี้จากนโยบายภาษีสหรัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ตั้งแต่เดือนเม.ย.หลังจากทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคบริการและภาคการผลิตลดลงต่ำกว่า 50 ซึ่งเป็นค่าที่บ่งชี้ถึงการหดตัวแล้ว แม้ปัจจุบันนโยบายดังกล่าว จะอยู่ในช่วง “พักรบ” หรือรอศาลตัดสินอย่างไร แต่ทรัมป์ยังมีช่องทางกฎหมายอื่นๆ ที่อนุญาตให้เก็บภาษีนำเข้าได้อีก  

“ทรัมป์ยังมีช่องทางกฎหมายอื่นๆ เช่น เช่น มาตรา 232, 201/301, 122 ที่อนุญาตให้เก็บภาษีนำเข้าได้อีก จึงมองว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะไม่กลับไปต่ำเหมือนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อยในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า” 

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยนั้น เผชิญกับความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ และมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีดีพีที่ยังไม่กลับสู่แนวโน้มเดิมก่อนโควิด ซึ่งศูนย์วิจัยกรุงศรีได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยเมื่อปลายเดือนพ.ค. ถึงต้นเดือนมิ.ย.68 โดยแบ่งเป็น 2 กรณี 

  • กรณีอ้างอิง (Reference Case) : สหรัฐฯ เก็บภาษีเกือบทุกประเทศ 10% และจีน 30% ในกรณีนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.1% ในปีนี้
  • กรณีทางเลือก (Alternative Case): หากไทยโดนภาษีเฉพาะหมวด (Specific Tariff) แบบเต็มที่ 36% การส่งออกของไทยในปีนี้อาจลดลงใกล้ 0% ทำให้ GDP ไทยอาจเติบโตเหลือเพียง 1.5%  

“ปัจจุบันโอกาสที่จะเป็นกรณีทางเลือกนี้มีน้อยกว่า โดยสถานการณ์น่าจะใกล้เคียงกับกรณีอ้างอิงมากกว่า แต่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 2.1% หรือไม่นั้น ต้องติดตามอีกครั้ง เนื่องจากมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ เกิดขึ้นหลายปัจจัย”  

ทั้งนี้ปัจจัยฉุดรั้งและความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าได้แก่ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์,ตลาดการเงินผันผวน, ผลจาก Global Minimum Tax คือ ประเทศไทยเริ่มใช้ Global Minimum Tax แล้ว ซึ่งบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ที่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องจ่ายภาษี 15% กระทบต่อบริษัทเหล่านี้, สภาพอากาศแปรปรวน, ปัญหาเชิงโครงสร้าง, และการเมืองภายในประเทศ  

ขณะที่เครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยอย่างภาคการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ คาดว่าจะไม่ถึง 38 ล้านคนในปีนี้ ด้านภาคการส่งออก ตัวเลขส่งออก 5 เดือนแรกที่เติบโตเฉลี่ย 15% เป็นผลมาจากการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีของทรัมป์ ส่วนภาคการลงทุนนั้น ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนกลับมีความผันผวนสูงและเริ่มชะลอลง สาเหตุหลักคือความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ 

ประเทศไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ยังคงสูงอยู่ที่ 87.4% ของ GDP ในไตรมาส 1 และสูงกว่าระดับก่อนโควิด แม้สินเชื่อโดยรวมจะติดลบ สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แม้ไทยจะมีตัวเลขขอรับสิทธิประโยชน์ FDI สูง แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย มียอดสะสม FDI ที่สูงกว่าไทย 

“ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้เป็นปัญหาที่อยู่มานานและคงอยู่ต่อไป และไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้ง่ายๆ สิ่งที่ประชาชนและนักลงทุนทำได้คือการรักษาตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงนี้ไปได้”ดร.พิมพ์นารากล่าวทิ้งท้าย

นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business จาก Schroder กล่าวเน้นย้ำถึงแนวคิดการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite หรือกลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่น โดยให้จีน และ Private Equity เป็นส่วนของการปรับพอร์ตที่น่าสนใจ ซึ่งมองว่า ณ ปัจจุบันนี้ ตลาดหุ้นจีนเริ่มน่าสบายใจในการพูดถึงมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business จาก Schroder

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองการลงทุนใน Private Equity ซึ่งเป็นสินทรัพย์นอกตลาดที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Private Equity นั้น เป็นบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลและการลงทุนค่อนข้างยากสำหรับนักลงทุนทั่วไป 

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา กองทุน Private Equity ของ Schroders ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีหุ้นทั่วโลก และดัชนีตราสารหนี้ Global High Yield ทั้งนี้ มีค่าความผันผวนต่ำ ประมาณ 9.7% ต่อปี เทียบกับดัชนีหุ้นโลกที่ 17% ซึ่งหากนำมารวมกับพอร์ตลงทุนจะช่วยทั้งลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,111 วันที่ 6 - 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568