นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.พร้อมเดินหน้าเพิ่มศักยภาพและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ประกอบการเกษตร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศ
ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ทั้งด้านการผลิต เทคโนโลยี นวัตกรรม และการตลาด ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดตลอดห่วงโซ่ ตามแนวทางในการเป็นแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture)
หัวใจของกลไกนี้คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น ด้วยแนวคิด “ทำน้อยได้มาก” ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การเพิ่มคุณภาพ และการปรับภาพลักษณ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
หนึ่งในตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน คือ ข้าวพร้อมทานแบรนด์ “อุ่นอิ่ม” ของสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด (สกต.ร้อยเอ็ด)
ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิ GI ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยนำเทคโนโลยี Retort หรือการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนมาใช้ในการแปรรูปข้าวให้สามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้นานถึง 18 เดือน โดยไม่ต้องแช่เย็น
และยังสามารถนำไปอุ่นในไมโครเวฟเพียง 60 วินาทีก็รับประทานได้ทันที ทำให้ข้าวธรรมดากลายเป็นสินค้าพร้อมทานที่มีความสะดวก ถูกสุขลักษณะ และน่ารับประทาน
ธ.ก.ส. ยังสนับสนุนการต่อยอดผลิตภัณฑ์ด้วยการพัฒนาเมนูจากข้าวกล้องหอมมะลิและข้าวไรซ์เบอร์รี เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ
นับตั้งแต่เริ่มจำหน่ายในเดือนกันยายน 2567 จนถึงปัจจุบัน ข้าว “อุ่นอิ่ม” สามารถสร้างยอดขายรวมได้กว่า 1.8 ล้านบาท จากปริมาณกว่า 40,000 ถ้วยภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่
แผนการในอนาคต ยังเตรียมขยายโมเดล “อุ่นอิ่ม” ไปยังสหกรณ์อื่น ๆ ทั่วประเทศ เช่น สกต.นครปฐม ที่มีข้าว กข.43 ซึ่งมีน้ำตาลต่ำ และ สกต.สุรินทร์ ที่มีข้าวหอมนิลและข้าวหอมมะลิอินทรีย์ โดยวางเป้าหมายว่าในปีบัญชี 2568 (1 เม.ย. 2568 – 31 มี.ค. 2569) จะสามารถสร้างยอดขายข้าว “อุ่นอิ่ม” จากทุกประเภทได้มากกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกของแต่ละสหกรณ์มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
นายฉัตรชัยกล่าวต่อว่า ธ.ก.ส.ยังจะขับเคลื่อนสินค้าชุมชนผ่านช่องทางการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นคือ BAAC Branch Outlet โดยในปีบัญชี 2567 มีสาขาทั่วประเทศถึง 387 แห่ง และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็นกว่า 600 แห่งในปี 2568 พร้อมขยายกิจกรรม “BAAC Outlet Mobile” เพื่อออกบูธจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ชุมชน ห้างสรรพสินค้า หรือหน่วยงานราชการ ช่วยให้สินค้าของเกษตรกรเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ธ.ก.ส. ยังเดินหน้าโครงการยกระดับสินค้า A-Product ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เช่น GAP (Good Agricultural Practices) โดยเน้นการ Re-package และ Re-design เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ตลาดกลางถึงบน และนำไปสู่การพัฒนาสินค้า Glam Agro หรือ “สินค้าเกษตรติดแกลม” ที่สามารถวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า หรือส่งออกต่างประเทศได้
ธ.ก.ส. ยังผลักดันการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสถาบันเกษตรกรกับพันธมิตรทางการค้า ทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะจับคู่ธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 90 คู่ และสามารถรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรได้มากกว่า 700,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,900 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้เกษตรกรในวงกว้าง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,108 วันที่ 26 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568