นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.มีโครงการที่จะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียเรื้อรังในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งธ.ก.ส.ได้ประเมินคุณภาพตัวลูกหนี้แล้วว่า ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้นั้น กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเสนอเข้าสู่การอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
“ลูกหนี้กลุ่มนี้ เราเห็นว่า ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ โดยเป็นหนี้เสียที่เรื้อรังมานาน ซึ่งเราพบว่า มีจำนวนลูกหนี้กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 1 หมื่นบัญชี มูลหนี้ราว 4-5 พันล้านบาท ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้ จะต้องอยู่บนพื้นฐานว่า จะต้องทำให้รัฐเสียหายน้อยที่สุด“
สำหรับภาพรวมหนี้เสียของธนาคารนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ 5.31% ของสินเชื่อรวม 1.67 ล้านล้านบาท ซึ่งเราพยายามจะพยุงให้ระดับหนี้เสียไม่ไหลไปสูงจนถึงระดับ 8-9%ในช่วงปีก่อนหน้า โดยปีนี้ตั้งเป้าจะรักษาระดับหนี้เสียให้อยู่ที่ประมาณ 5.5% บวกลบ
“ในทุกๆปี ระดับหนี้เสียจะปรับขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนที่ 8 หรือ 9 เพราะเป็นช่วงที่เรากำหนดให้มีการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม เราจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับ 5.5% บวกลบดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ต้องอยู่ที่ประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาทจากยอดสินเชื่อรวมในปีที่แล้ว”
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารนั้น เราจะยังไม่ปรับลด เพราะที่ผ่านมา เราได้ปรับลดไปมากแล้ว ทั้งนี้ เรามองว่า ภาครัฐควรจะเร่งจ่ายเงินสำหรับโครงการที่ธ.ก.ส.ได้เข้าไปช่วยดำเนินการตามนโยบายให้เป็นตามไทม์ไลน์ของโครงการ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีสภาพคล่องมากขึ้นและจะสามารถลดต้นทุนการเงินของธนาคารและลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น
ส่วนความท้าทายของธนาคารในขณะนี้นั้น ธนาคารกำลังเผชิญกับปัญหาฐานลูกค้าที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ขณะเดียวกัน บุตรหลานของเกษตรกรก็สานต่ออาชีพเกษตรน้อยลง นอกจากนี้ เกษตรกรยังใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิต อีกทั้ง การส่งเสริมเกษตรกรในอดีตจะเน้นไปที่การผลิต แต่ไม่พุ่งเป้าไปที่การทำการตลาด